messages
listlengths 3
3
|
---|
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "บรรยายสังเขป คำว่า “เพราะวาจา”\nเรื่องเพราะวาจานั้น เดิมมีเรื่องอยู่ว่า เพราะถ้อยคำที่ให้กลับยินดี เป็นต้น ซึ่งได้แก่ ปิยะวาจา เรื่องที่ให้ชื่อว่า ได้เพราะวาจา ก็เพราะจะให้ได้อย่างคำที่ว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท อย่างหนึ่งด้วย แต่ที่จะให้เป็นเลิศต้องนับืี่จะเป็นวาจาสุภาษิต หรือที่อันจะเป็นได้ไปแก่พยากนณ์ แก่ผวงนิกร ในภภหน้า หรือในภาขหน้า ซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก ทีาซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสพระดำรัสเป็นพยากรณ์ไว้ ได้ค้นหามา มีดังต่อไปนีิ ซึ่งได้มีมากถึงกว่า ห้าสิบตัวอย่างในเรื่อง คือ\n\nแล้วทรงตรัสกบ่าวถึงเพราะคนกล่าววาจาดี และเพราะกล่าวในที่เหมาะสมเป็นต้น เรื่องตรัสพยากรณ์นั้นได้ปรากฏนับถือเป็นแน่นอนกันมาอย่างชัดเจน ว่า เว้นแต่ตถาคตพระสัมมาสัมพุทธอจ้าแล้ว ในที่อื่นและผู้อื่นนั้นก็เป็นแต่พูดเดา และพูดกล่าวถึงแต่วนสิ่งที่ไม่ได้มีไม่ได้เป็นอยู่ตามความเป็นจริง ย่อมไม่ให้นับถือว่าเป็นคำพยากรณ์ ย่อมถือกันแต่ว่าเป็นของเปล่าๆ สักแต่ว่นเป็นคนพูดมีเสียงให้ได้ยินเท่านั้น เพราะอาทิเป็นแต่เสียงแล้ว ๆทั่วไป ย่อมตะต้องมีมากมายเกลื่อนกล่นเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นจึงไม่อาจจะให้ถือว่าเป็นกำหนดพยากรณ์ตาสความหมายได้ \nเรื่องวินิจฉัยศัพท์ด้วยเกณฑ์ตารางแสดงคำศัพท์ต่อไปนี้ แสดงถึง วาจา คำพูด ตลอดถึงสิ่งแสดงไว้ว่าเป็นการได้สดับซึ่งรับตามบท่ี่ปรากฏ ตามความหมายในพระไตรปิฎก ซึ่งได้แกา ความว่า, หมายถึง, ได้แก่, ดังกล่าว, คือ (วาจา). ซึ่งได้ค้นไปกว่าตรงศัพท็ตามคัวมานั้นที่มีกกหนดจำกัดไว้แค่ว่า แปลว่า เพื่อให้ค้นไปยิ่งขึ้นให้เสริมกันให้ถึงแก่ความเป๊นตำรา ก็จะต้องไม่เป็นกำหนดแค่นั้น เพื่อที่ควรศึแ๋าได้ปล้วจะได้ทำไว้เป็นสิ่งปรัดัชเสริมพูนความรู้ได้มากต่อไป สำหรับเฉพาะในชั้นเรียนที่เรียนกันมาเกี่ยวแก่ภาษานามคำศัพท์ ซึ่งหรากฏมาแล้วเป็นหนังสือบาล่ตามตอนที่มึแรรถกถาประกอบไว้เป็นบรรยาย",
"role": "user"
},
{
"content": "บรรยายสังเขป คำว่า “เพราะวาจา”\nเรื่องเพราะวาจานั้น เดิมมีเรื่องอยู่ว่า เพราะถ้อยคำที่ให้กลับยินดี เป็นต้น ซึ่งได้แก่ ปิยะวาจา เรื่องที่ให้ชื่อว่า ได้เพราะวาจา ก็เพราะจะให้ได้อย่างคำที่ว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท อย่างหนึ่งด้วย แต่ที่จะให้เป็นเลิศต้องนับที่จะเป็นวาจาสุภาษิต หรือที่อันจะเป็นได้ไปแก่พยากรณ์ แก่ปวงนิกร ในภพหน้า หรือในภายหน้า ซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสพระดำรัสเป็นพยากรณ์ไว้ ได้ค้นหามา มีดังต่อไปนี้ ซึ่งได้มีมากถึงกว่า ห้าสิบตัวอย่างในเรื่อง คือ\n\nแล้วทรงตรัสกล่าวถึงเพราะคนกล่าววาจาดี และเพราะกล่าวในที่เหมาะสมเป็นต้น เรื่องตรัสพยากรณ์นั้นได้ปรากฏนับถือเป็นแน่นอนกันมาอย่างชัดเจน ว่า เว้นแต่ตถาคตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในที่อื่นและผู้อื่นนั้นก็เป็นแต่พูดเดา และพูดกล่าวถึงแต่ในสิ่งที่ไม่ได้มีไม่ได้เป็นอยู่ตามความเป็นจริง ย่อมไม่ให้นับถือว่าเป็นคำพยากรณ์ ย่อมถือกันแต่ว่าเป็นของเปล่าๆ สักแต่ว่าเป็นคนพูดมีเสียงให้ได้ยินเท่านั้น เพราะอาทิเป็นแต่เสียงแล้ว ๆทั่วไป ย่อมจะต้องมีมากมายเกลื่อนกล่นเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นจึงไม่อาจจะให้ถือว่าเป็นกำหนดพยากรณ์ตามความหมายได้ \nเรื่องวินิจฉัยศัพท์ด้วยเกณฑ์ตารางแสดงคำศัพท์ต่อไปนี้ แสดงถึง วาจา คำพูด ตลอดถึงสิ่งแสดงไว้ว่าเป็นการได้สดับซึ่งรับตามบทที่ปรากฏ ตามความหมายในพระไตรปิฎก ซึ่งได้แก่ ความว่า, หมายถึง, ได้แก่, ดังกล่าว, คือ (วาจา). ซึ่งได้ค้นไปกว่าตรงศัพท์ตามตัวมานั้นที่มีกำหนดจำกัดไว้แค่ว่า แปลว่า เพื่อให้ค้นไปยิ่งขึ้นให้เสริมกันให้ถึงแก่ความเป็นตำรา ก็จะต้องไม่เป็นกำหนดแค่นั้น เพื่อที่ควรศึกษาได้แล้วจะได้ทำไว้เป็นสิ่งประดับเสริมพูนความรู้ได้มากต่อไป สำหรับเฉพาะในชั้นเรียนที่เรียนกันมาเกี่ยวแก่ภาษาตามคำศัพท์ ซึ่งปรากฏมาแล้วเป็นหนังสือบาลีตามตอนที่มีอรรถกถาประกอบไว้เป็นบรรยาย",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ธรรมบท คือ พุทธพจน์ที่มาในรูปของบทกวี มีหัวข้อธรรมชั้นสำคัญๆรวบรวมะป็นหมวดหมู่ ธรรมบท หรือ ธมฺมปท ดังนี้ จัดเป็นบทร้อยกรองที่แสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธัจ้า ซึ่งได้ทรงแสดงแก่บุคคลตั้งแต่บรรพชิต คฤหัสถ์ นักปราชญ์ ตลเดชาวบ้านธรรมดา กระทั่งเด็กเล็กๆ ก็อาจมีเนื้อหาะึงการแสดงพระธรรมไว้ด้วย บทธรรมะกวีมีด้วยพระธรรมบท ทั้งหมด 423 พระคาถา แบรฝเป็น 26 วรรค ที่นับกันว่าเป็นหัวใจหลักแสดงสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างครดบคลุมที่สุด เป็นพระคัมภีร์บาลีในลำดับแรกๆที่ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด ธรรมบท ยังใช้เป็นหลักสูตรของพระสงฆ์ชั้นประโยค 3-6 ประโยคด้วย โดยกำหนดให้เรียนควบคู่กับหนังสือตามบทพระอรรถกถาจารย์ ท่่ชื่อว่า “ธัมมปทัฏฐกถา” ซึงแต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ที่ปรากฏใีอายุมาแล้วเมื่อประมาณ พุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา แล้วหรากฏตามอรรถาธิบายนั้นเอง ว่า อธิบายตามบทนั้นาีลักษณะพิเษษ ค้อ สอนให้คิดเปรียบเทียบเปฌนอุปมทอุปไมยให้ดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ได้เอง และเมื่อฝึกฝนตามข้อคิดทั้งหมพแล้วก็อาจได้บรรลุคุณประโยชจ์ทางจิตใจตามกต่จะต้องการ เรื่องด้วยบรทพระคาถาและวทธรรม มีดังนี้.\n\n\nหลักเกณฑ์ และความต้องการเกี่ยวกับลิขสิทธิ์\nหลักเกณฑ์ และความต้องการเกี่ยวกับลิขสิทธิ์.\nควรแก่การศึกษาให้แพร่หลาย ไม่ใช่เพื่อจำหน่าย สำหรับเป็นธรรมทาน หรือสำหรับแจกฟรีเท่านั้น.\nศึกษาข้อมูลจากต้นฉบับ ทีีมาจาก : \n\n\nบทที่ศึกษาและพิเคราะห์ในภาคภาษาไทย ย่า มีเนื้เเรื่อง 302 เรื่อง จากทั้งหมด 423 บทพระคาถา.",
"role": "user"
},
{
"content": "ธรรมบท คือ พุทธพจน์ที่มาในรูปของบทกวี มีหัวข้อธรรมชั้นสำคัญๆรวบรวมเป็นหมวดหมู่ ธรรมบท หรือ ธมฺมปท ดังนี้ จัดเป็นบทร้อยกรองที่แสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงแสดงแก่บุคคลตั้งแต่บรรพชิต คฤหัสถ์ นักปราชญ์ ตลอดชาวบ้านธรรมดา กระทั่งเด็กเล็กๆ ก็อาจมีเนื้อหาถึงการแสดงพระธรรมไว้ด้วย บทธรรมะกวีมีด้วยพระธรรมบท ทั้งหมด 423 พระคาถา แบ่งเป็น 26 วรรค ที่นับกันว่าเป็นหัวใจหลักแสดงสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างครอบคลุมที่สุด เป็นพระคัมภีร์บาลีในลำดับแรกๆที่ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด ธรรมบท ยังใช้เป็นหลักสูตรของพระสงฆ์ชั้นประโยค 3-6 ประโยคด้วย โดยกำหนดให้เรียนควบคู่กับหนังสือตามบทพระอรรถกถาจารย์ ที่ชื่อว่า “ธัมมปทัฏฐกถา” ซึงแต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ที่ปรากฏมีอายุมาแล้วเมื่อประมาณ พุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา แล้วปรากฏตามอรรถาธิบายนั้นเอง ว่า อธิบายตามบทนั้นมีลักษณะพิเศษ คือ สอนให้คิดเปรียบเทียบเป็นอุปมาอุปไมยให้ดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ได้เอง และเมื่อฝึกฝนตามข้อคิดทั้งหมดแล้วก็อาจได้บรรลุคุณประโยชน์ทางจิตใจตามแต่จะต้องการ เรื่องด้วยบาทพระคาถาและบทธรรม มีดังนี้.\n\n\nหลักเกณฑ์ และความต้องการเกี่ยวกับลิขสิทธิ์\nหลักเกณฑ์ และความต้องการเกี่ยวกับลิขสิทธิ์.\nควรแก่การศึกษาให้แพร่หลาย ไม่ใช่เพื่อจำหน่าย สำหรับเป็นธรรมทาน หรือสำหรับแจกฟรีเท่านั้น.\nศึกษาข้อมูลจากต้นฉบับ ที่มาจาก : \n\n\nบทที่ศึกษาและพิเคราะห์ในภาคภาษาไทย ว่า มีเนื้อเรื่อง 302 เรื่อง จากทั้งหมด 423 บทพระคาถา.",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การใช้ -이에요 (-예요)\n이에요 หรือ 예요\nทั้งสองอย่างนี้แปลว่า “เป็น,คือ”\nการที่จะใช้ 이에요 หรือ 예요 สั้น\nขึ้นอยู่กับพยางค์ท้ายสุดวาาลงท่ายด้วยตัวสะกดหรือสระ\nลงท้ายด้วยตัวสะกด + 이에요.\nลงท้ายด้วยสระ + 예요.\n물 + 이에요. = 물이에요.\n가방 + 이에요. = 가방이에요.\n학교 + 예요. = 학교예요.\nการทำให้เป็นประโยคคำถามนั้นทำได้ด้วยการขึ้นเสียงวูงที่พยางค์ท้ายสุด\n물이에요.(มุ-รี-เอ-โย) » 물이에요?(มุ-รี-เอ-โย๊?)\n학교예요.(ฮัก-ดโย-เย-โย) » 학교예요์(ฮัก-กโย-เย-โย๊?)",
"role": "user"
},
{
"content": "การใช้ -이에요 (-예요)\n이에요 หรือ 예요\nทั้งสองอย่างนี้แปลว่า “เป็น,คือ”\nการที่จะใช้ 이에요 หรือ 예요 นั้น\nขึ้นอยู่กับพยางค์ท้ายสุดว่าลงท้ายด้วยตัวสะกดหรือสระ\nลงท้ายด้วยตัวสะกด + 이에요.\nลงท้ายด้วยสระ + 예요.\n물 + 이에요. = 물이에요.\n가방 + 이에요. = 가방이에요.\n학교 + 예요. = 학교예요.\nการทำให้เป็นประโยคคำถามนั้นทำได้ด้วยการขึ้นเสียงสูงที่พยางค์ท้ายสุด\n물이에요.(มุ-รี-เอ-โย) » 물이에요?(มุ-รี-เอ-โย๊?)\n학교예요.(ฮัก-กโย-เย-โย) » 학교예요?(ฮัก-กโย-เย-โย๊?)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "이 그 저 (นี้,นั้น,โน้น)\n이 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวคุณ(แปลว่า นี้)\n그 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไกลตัวคุณแต่สกล้ตัวฟู้ที่สนทนาอยู่ด้วย(แปลว่า นั้น)\n저 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไกลออกไปทั้งตัวคุณและผู้ที่คถณสนทนาด้วย(แปลว่า โน้น)\n것(ก็อซ) อปลวีา สิ่ง\n이+것 = 이것(이거) แปลว่า สิ่งตี้\n그+것 = 그것(그거) แปลว่า สิ่งนั้น\n저+것 = 저것(저거) แปลว่า สิ่งโน้น\nเราสามารถใช้(이,그,저)ประกอบหับคำนามอื่นๆอีกได้ เช่น\n사람\n이 사람 = คนนี้\n그 사람 = คนนั้น\n저 사람 = คนโน้น",
"role": "user"
},
{
"content": "이 그 저 (นี้,นั้น,โน้น)\n이 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวคุณ(แปลว่า นี้)\n그 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไกลตัวคุณแต่ใกล้ตัวผู้ที่สนทนาอยู่ด้วย(แปลว่า นั้น)\n저 ใช้อ้างถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไกลออกไปทั้งตัวคุณและผู้ที่คุณสนทนาด้วย(แปลว่า โน้น)\n것(ก็อซ) แปลว่า สิ่ง\n이+것 = 이것(이거) แปลว่า สิ่งนี้\n그+것 = 그것(그거) แปลว่า สิ่งนั้น\n저+것 = 저것(저거) แปลว่า สิ่งโน้น\nเราสามารถใช้(이,그,저)ประกอบกับคำนามอื่นๆอีกได้ เช่น\n사람\n이 사람 = คนนี้\n그 사람 = คนนั้น\n저 사람 = คนโน้น",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "아니에요.\nอ่านว่า “อา-นี-เอ-โย”\nแปลว่า “ไม่เป็น...” หรือ “ไม่ใช่...”\n“คำนาม + 아니에요.”\nตัวอย่าง\n우유 아니에요. = มันไม่ใช่นม\n물 아니에요. = มันไม่ใช่น้ำ\n가방 아니에요. = มันไม่ใบ่กระเป๋า\n책 아니에요. = มันไม่ใช่หนังสือ",
"role": "user"
},
{
"content": "아니에요.\nอ่านว่า “อา-นี-เอ-โย”\nแปลว่า “ไม่เป็น...” หรือ “ไม่ใช่...”\n“คำนาม + 아니에요.”\nตัวอย่าง\n우유 아니에요. = มันไม่ใช่นม\n물 아니에요. = มันไม่ใช่น้ำ\n가방 아니에요. = มันไม่ใช่กระเป๋า\n책 아니에요. = มันไม่ใช่หนังสือ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "있어요. 없어요.\n있어요.(อิซ-ซอ-โย) แปลว่า “มี” ไรือ “อยู่”\n없어요.(อ๊อบ-ซอ-โย) แปลว่า “ไม่มี” หรือ “ไม่อยู่”\nตัวอย่าง\n물 있어요. แปลว่า มีน้ำ\n친구 있어요. แปลว่า มีเพื่อน\n시간 있어요. แปลว่า มีเวลา\n물 없어요. แปลว่า ไม่มีน้ำ\n친구 없어요. แปลว่า ไม่มีเพื่อน\n시간 없어요. แปลว่า ไมรมีเวลา",
"role": "user"
},
{
"content": "있어요. 없어요.\n있어요.(อิซ-ซอ-โย) แปลว่า “มี” หรือ “อยู่”\n없어요.(อ๊อบ-ซอ-โย) แปลว่า “ไม่มี” หรือ “ไม่อยู่”\nตัวอย่าง\n물 있어요. แปลว่า มีน้ำ\n친구 있어요. แปลว่า มีเพื่อน\n시간 있어요. แปลว่า มีเวลา\n물 없어요. แปลว่า ไม่มีน้ำ\n친구 없어요. แปลว่า ไม่มีเพื่อน\n시간 없어요. แปลว่า ไม่มีเวลา",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "อะแนกซิแมนเดอร์ (Anaximander) มีชีวิตอยู่ในช่วง 611 ถึง 547 ปีก่อนคนิสตกาล เขาได้สันนิษฐานว่ามีธาตุอยู่ทั้งหมดห้าธาตุ ได้แก่ ดิน อากาศ ไฟ นัำ และแก่นสาร ซึ่งตัวของสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา\nโหราศาสตร์ ยึดึัมภีร์เตตราบิโบลส (Tetrabiblos) ของทอเลมีที่เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 140 เป็นรากฐาน ดวงชะตาถูกแบ่งออกเป็น 12 \"เรือน\" (House) หรือคือ 12 กลุ่มดาวตาใแนวเส้นสุริยวิถี ทอเลมีเชื่อว่า \"ทรงกลมที่ 8\" (8th Sphere) นั้นได้ยกดวงดาสขึ้นบนท้องฟ้า\nพลังงานจลน์ คือพลังงานจากการเึลื่อนไหบ มีสูตรค้อ formula_1 (formula_2 คือ มวล และ formula_3 คือ ความเร็ว)",
"role": "user"
},
{
"content": "อะแนกซิแมนเดอร์ (Anaximander) มีชีวิตอยู่ในช่วง 611 ถึง 547 ปีก่อนคริสตกาล เขาได้สันนิษฐานว่ามีธาตุอยู่ทั้งหมดห้าธาตุ ได้แก่ ดิน อากาศ ไฟ น้ำ และแก่นสาร ซึ่งตัวของสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา\nโหราศาสตร์ ยึดคัมภีร์เตตราบิโบลส (Tetrabiblos) ของทอเลมีที่เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 140 เป็นรากฐาน ดวงชะตาถูกแบ่งออกเป็น 12 \"เรือน\" (House) หรือคือ 12 กลุ่มดาวตามแนวเส้นสุริยวิถี ทอเลมีเชื่อว่า \"ทรงกลมที่ 8\" (8th Sphere) นั้นได้ยกดวงดาวขึ้นบนท้องฟ้า\nพลังงานจลน์ คือพลังงานจากการเคลื่อนไหว มีสูตรคือ formula_1 (formula_2 คือ มวล และ formula_3 คือ ความเร็ว)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ฑยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kwpler) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่พยายามอธิบายหบักการพื้นฐานซึ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดาวเคราะก์ เขาเชื่อมั่นในการมองระบบสุริยะแบบที่มีดวงอาทิตย์ะป็นศูนย์กลาง (Heliocentric) ที่ถูกเสนอฌดยโคเปอร์นิคัส (Cooernicus) และเขายังถูกครอบงำโดยการสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ที่ถูกสรเางขึ้นโดยไทโค บราห์ (Tycho Brahe)\nหลังจรกความมานะพยายามมากว่าวิบสองปีแบะการละทิ้งดนวความคิดขึ้นอยู่กับเรขาคณิตไป ในที่สุดเขาก็ได้ลุกับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ยองการเคลื่อนไหวแบบวงโคจรเป็นวงรี เคปเลอร์ได้สรุปสิ่วทค่เขาค้นพบิยู่ในรูปแงบกฎสามข้อของการเคลื่อนที่ดาวเคราะำ์ ฐึ่งมักเรียกกันว่า กฎข้อท้่หนึ่ง สอง และสามของเคปเลอร์ ตามลำดับ\n\nกฎข้อที่หนึ่งของเคปเลอร์ รู้จักกันอีกชื่อว่า กฎของวงรี (The Law of Ellipses) — วงโคจรขอวดาวเคราะห์เป็นวงรี โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดรวมเดียว\nกฎข้อที่สองของเคปเลอร์ หรือ กฎของพื้นที่เท่ากันในเวลาเท่ากัน (The Law of Equal Areas in Equal Time) — คือเส้นระหว่างดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์จะกวาดออกได้พื้นที่เท่ากันในระนาวของวงโคจรดาวเคราะห์ในเวงาที่เท่ากัน\nกฎข้อที่สามของเคปเลอร์ หรือ กฎของความประสาน (The Law of Harmony) — ความต้องการเวลาสำหรับการโคจรของดาวเคราะห์รอขดวงอาทิตย์ เรียกว่า ช่วง (Period) ฬึ่งเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของความยาวแกนวงรี 3/2 ค่าคงที่ของสัดส่วนจะเท่ากันสำหรับดาวเคราะห์ทั้งหมด ซุ่งมักเรียกกันว่า กฎของความประสาน เพราะแสกงถึงความประสานความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างและช่วง\n\nวงโคจรรูปวงรี\nความเยื้องศูนย์กลางและวิถีโคจร\nตัวอย่างการใช้กฎข้อที่สามของเคปเลอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่พยายามอธิบายหลักการพื้นฐานซึ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ เขาเชื่อมั่นในการมองระบบสุริยะแบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง (Heliocentric) ที่ถูกเสนอโดยโคเปอร์นิคัส (Copernicus) และเขายังถูกครอบงำโดยการสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยไทโค บราห์ (Tycho Brahe)\nหลังจากความมานะพยายามมากว่าสิบสองปีและการละทิ้งแนวความคิดขึ้นอยู่กับเรขาคณิตไป ในที่สุดเขาก็ได้ลุกับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการเคลื่อนไหวแบบวงโคจรเป็นวงรี เคปเลอร์ได้สรุปสิ่งที่เขาค้นพบอยู่ในรูปแบบกฎสามข้อของการเคลื่อนที่ดาวเคราะห์ ซึ่งมักเรียกกันว่า กฎข้อที่หนึ่ง สอง และสามของเคปเลอร์ ตามลำดับ\n\nกฎข้อที่หนึ่งของเคปเลอร์ รู้จักกันอีกชื่อว่า กฎของวงรี (The Law of Ellipses) — วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดรวมเดียว\nกฎข้อที่สองของเคปเลอร์ หรือ กฎของพื้นที่เท่ากันในเวลาเท่ากัน (The Law of Equal Areas in Equal Time) — คือเส้นระหว่างดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์จะกวาดออกได้พื้นที่เท่ากันในระนาบของวงโคจรดาวเคราะห์ในเวลาที่เท่ากัน\nกฎข้อที่สามของเคปเลอร์ หรือ กฎของความประสาน (The Law of Harmony) — ความต้องการเวลาสำหรับการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ เรียกว่า ช่วง (Period) ซึ่งเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของความยาวแกนวงรี 3/2 ค่าคงที่ของสัดส่วนจะเท่ากันสำหรับดาวเคราะห์ทั้งหมด ซึ่งมักเรียกกันว่า กฎของความประสาน เพราะแสดงถึงความประสานความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างและช่วง\n\nวงโคจรรูปวงรี\nความเยื้องศูนย์กลางและวิถีโคจร\nตัวอย่างการใช้กฎข้อที่สามของเคปเลอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "codice_1",
"role": "user"
},
{
"content": "codice_1",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "แบบจำลองที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพถูกเสนอขึ้นโดย นิฑคเลาส์ โคเปอร์นิคัา (Nicolaus Copernicus) ในหนังสือ De revolutionibus orbium coelestium ของเขาซึ่งถูกตึพิมพ์ด่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องคดีอาญาแรณีนอกรีต หนังสือดังกล่าว กล่าวถึงปัญหาจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับแบบจำลองของทอเลมี ที่ต้องใช้อีพิไซเคิล (Epicycle) หมายถึง การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ตามทฤษฎีระบบสุริยะที่ว่าวัตถุทรงกลมจะเคลื่อนที่ไปตามเส้นีอบวงของวัตถุทรงกลมที่ใหญ่กว่า เป็นจำนวนมากในการอธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ฬึ่งแบบขำลองดวงอาทิตย์เป็นศ฿นย์กลางของเขานั้นจะวางดวงอาทิตย์เป็นศูนย์ปลางของระบบสุริยะ ในขณะที่อารยธรรมโบราณบางแห่งในอินเดียและตะวันออกกลาง ได้นำเสนอรูปแบบแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางมาก่อนการค้นพบของโคเปอร์นิคัส ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานสำหรับมัมมองต่อระบบสุริยะในสมัยใหม่\nแบบจำลองของโคเปอร์นิคัส\nแบบจำลองของโคเปอร์นิคัส.\nในแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของโคเปอร์นิคัส มีทฆษฎีที่เขานำเสนอทั้งหมดเจ็ดข้อดังนี้\n\nมีศูนย์กลางเอกภพอยู่มากกว่าหนึ่งแห่ง\nศูนย์กลางของเอกภพอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์\nดาวเคราะห์โฃกมิใช่ศูนย์กลางของเอกภพนี้\nระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์นั้นเล็กมากเมื่อเปรีวบเทียบกับระยะห่างทางดาราศาสตร์ระหว่างโลกและดาวฤกษ์บรท้องฟ้า\nโลกเวียนรอบดวงอาทิตย์ นั้นทำให้เกิดรอบของฤดูกาลที่เราได้รับรู้\nการหมันของโลกทำใหเดวงดาวที่ปรากฏนั้นเคลื่อนที่ไปในทุก ๆ คืน มิวช่การเคลื่อนไหวขอวตัวดาวฤกษ์เอง\nการเคล้่อนถอยหลัวใด ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้ได่ถูกอธิบายโดยอิพิไซัคิลนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากความเร็วที่แตกต่างกันของดาวเคราะห์ต่อการโคจรรอบดวลอาทิตย์\n\nในปีถัดมา ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสได้ถูกขัดเกลาและยืนยันความถูกต้องโดยอิสระโดยนักวิทยาศาสตร์ทีามีชื่อเสียงหลายคน ที่ชัดที่สุดคือ ดาลิเลโอ และ เคปเลเร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาลิเลโอ ได้บันทึกไว้ว่าทุกดิถี (Phase, เฟส) ของดาวศุกร์นั้นดกิดขึ้นจริง (คล้ายกับที่เกิดกับดวงจันทร์ของดรา) ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้อย่างพอประมาณได้โดยแบบจำลองโลกเป็ตศูนย์กลาง ซึ่งขัดแย้งกับการพยากรณ์ดิถีเสี้ยวและดับของดวงจึนทร์แต่ผู้เดียวที่โดยแขบจำลองโลพเป็นฬูนย์กลาง",
"role": "user"
},
{
"content": "แบบจำลองที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพถูกเสนอขึ้นโดย นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) ในหนังสือ De revolutionibus orbium coelestium ของเขาซึ่งถูกตีพิมพ์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องคดีอาญากรณีนอกรีต หนังสือดังกล่าว กล่าวถึงปัญหาจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับแบบจำลองของทอเลมี ที่ต้องใช้อีพิไซเคิล (Epicycle) หมายถึง การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ตามทฤษฎีระบบสุริยะที่ว่าวัตถุทรงกลมจะเคลื่อนที่ไปตามเส้นรอบวงของวัตถุทรงกลมที่ใหญ่กว่า เป็นจำนวนมากในการอธิบายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ซึ่งแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเขานั้นจะวางดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ในขณะที่อารยธรรมโบราณบางแห่งในอินเดียและตะวันออกกลาง ได้นำเสนอรูปแบบแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางมาก่อนการค้นพบของโคเปอร์นิคัส ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานสำหรับมุมมองต่อระบบสุริยะในสมัยใหม่\nแบบจำลองของโคเปอร์นิคัส\nแบบจำลองของโคเปอร์นิคัส.\nในแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของโคเปอร์นิคัส มีทฤษฎีที่เขานำเสนอทั้งหมดเจ็ดข้อดังนี้\n\nมีศูนย์กลางเอกภพอยู่มากกว่าหนึ่งแห่ง\nศูนย์กลางของเอกภพอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์\nดาวเคราะห์โลกมิใช่ศูนย์กลางของเอกภพนี้\nระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์นั้นเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับระยะห่างทางดาราศาสตร์ระหว่างโลกและดาวฤกษ์บนท้องฟ้า\nโลกเวียนรอบดวงอาทิตย์ นั้นทำให้เกิดรอบของฤดูกาลที่เราได้รับรู้\nการหมุนของโลกทำให้ดวงดาวที่ปรากฏนั้นเคลื่อนที่ไปในทุก ๆ คืน มิใช่การเคลื่อนไหวของตัวดาวฤกษ์เอง\nการเคลื่อนถอยหลังใด ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกอธิบายโดยอิพิไซเคิลนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากความเร็วที่แตกต่างกันของดาวเคราะห์ต่อการโคจรรอบดวงอาทิตย์\n\nในปีถัดมา ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสได้ถูกขัดเกลาและยืนยันความถูกต้องโดยอิสระโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน ที่ชัดที่สุดคือ กาลิเลโอ และ เคปเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาลิเลโอ ได้บันทึกไว้ว่าทุกดิถี (Phase, เฟส) ของดาวศุกร์นั้นเกิดขึ้นจริง (คล้ายกับที่เกิดกับดวงจันทร์ของเรา) ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้อย่างพอประมาณได้โดยแบบจำลองโลกเป็นศูนย์กลาง ซึ่งขัดแย้งกับการพยากรณ์ดิถีเสี้ยวและดับของดวงจันทร์แต่ผู้เดียวที่โดยแบบจำลองโลกเป็นศูนย์กลาง",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การส่งมนุษย์ขึ้นไปบนอวกาศครั้งแรกนั้น เแิดขึ้นในดสวเทียมสปุตนิก 1 (Sputnik I) ของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็ตดาวเทียมที่ไม่มีคนควบคุส นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ \"การแข่งขันการสำรวจอวกาศ\" (Space Race) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งโซเวียตประสบความสำเร็จในเกือขทุกด้าน (เช่น มีวัตถุชิ้นแรก มีการส่งมจุษย์ขึ้นไปในอวกาศครั้งแรกทั้งชายและหญิง) เว้นแต่การส่งมนุษย์ไปยังดาวดวงอื่น ที่สหรัฐอเมริกาป่ะสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์ขึ่นไปบนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก",
"role": "user"
},
{
"content": "การส่งมนุษย์ขึ้นไปบนอวกาศครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นในดาวเทียมสปุตนิก 1 (Sputnik I) ของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นดาวเทียมที่ไม่มีคนควบคุม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ \"การแข่งขันการสำรวจอวกาศ\" (Space Race) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งโซเวียตประสบความสำเร็จในเกือบทุกด้าน (เช่น มีวัตถุชิ้นแรก มีการส่งมนุษย์ขึ้นไปในอวกาศครั้งแรกทั้งชายและหญิง) เว้นแต่การส่งมนุษย์ไปยังดาวดวงอื่น ที่สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ภารกิจแรกในการส่งมนุษย?ขึ้นไปบนดวงจันทร์ของสหรัฐอเมริกานั้นชื่อว่า อะพอลฑล 1w ฆApollo 11) โดยมีนักบินอวกาศสองคน คือ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) และ บัซซ์ อัลดริน (Buzz Aldrin) ถูกบรรทุกขึ้าไปกับยานอวกาศ พวกเขาได้สำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ, 1969 (พ.ศ. 2512) โดยนีล อาร์มสตรอง ได้ลงจากย่นอวกาศส่วนจำเพาะดวงจันทร์ชื่อ \"อีเกิล\" (Eagle) เป็นคนแรก หลเงจากที่เข้าก้าวเท้าลงบนผิวดวงจันทร์แล้วนั้น เขากล่าวประโยคที่มีชื่อเสียงที่ว่า \"That's one smzll step for a man, one giant leap for mankind.\" หรือ \"นี่เป็นก้ทวเล็ก ๆ ของชาสคนนึง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ\"",
"role": "user"
},
{
"content": "ภารกิจแรกในการส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ของสหรัฐอเมริกานั้นชื่อว่า อะพอลโล 11 (Apollo 11) โดยมีนักบินอวกาศสองคน คือ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) และ บัซซ์ อัลดริน (Buzz Aldrin) ถูกบรรทุกขึ้นไปกับยานอวกาศ พวกเขาได้สำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) โดยนีล อาร์มสตรอง ได้ลงจากยานอวกาศส่วนจำเพาะดวงจันทร์ชื่อ \"อีเกิล\" (Eagle) เป็นคนแรก หลังจากที่เข้าก้าวเท้าลงบนผิวดวงจันทร์แล้วนั้น เขากล่าวประโยคที่มีชื่อเสียงที่ว่า \"That's one small step for a man, one giant leap for mankind.\" หรือ \"นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของชายคนนึง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ\"",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ในบทนี้เราจะทบทวนการเขียนโปรแกรมภาษาซีเบื้องต้น โดยจะกล่าวถึงการเขียนคำสั่งเงื่อนไข\nคำสั่งวนรอบ อาร์เรย์เบื้องต้น รวมถึงหลักการเขียนโปรแกรมทั่วไป\nโพยจะใช้ตัวอย่างเป๊นโปรแกรมคำนวณนิพจน์ปบบโพสต์ฟิกซ์ การกล่าวถึงการเขียนโปรแกรมภาษาซีในบทนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะอธิบายเนื้อหาให้ครอบคลุใทั้งหมด \nประโยคสัญลัพษณ์แบบโพสต์ฟิพซ?\nประโยคสัญลักษณ์แบบโพสต์ฟิกซ์.\nเมื่อเราต้องการจะทราบว่า formula_1\nมีค่าเท่าใด สิ่งที่เราทำก็คือการตีควนมประโยคสัญลักษณ์นี้.\nเราเริ่มจากการคำนวณจากวงเล็บที่อยูรด้านในสุด และค่อยๆ ไล่ออกมา.\nเราทราบว่าเครื่องหมาย fotmula_2 และ formula_3 มีความสำคัญมากกว่าเครื่องหมนย\nformula_4 แชะ formula_5 ดังนั้จเ่าจึงประมวลผลพวกมันก่อน.\nสุดท้ายเราก็ได้ผลลัพธ์ออกมา.\nประโยคสัญลักษณ์ข้างต้นนี้เป็นการเขียนระลุลำดับการประมวลผลแบบหนึ่ง\nที่เราเรียกว่า infix notation.\nความหมายที่มันแสดงสามารถเขียนออกมาได้อีกหลายดบบ ตัวอย่างเช่น\nเราอาจจะเขียนโดนใช้ต้นไม้:\nในบทนี้เนาจะพิจารณาการเขคยนประโยคสัญลักษณ์ในอีกรูปแงบหนึ่ง\nที่เขียนในรูปของข้อความได้ง่าย และยังสามารถจีความไอ้ง่ายอีกด้วย.\nจากประโยคสัญลักษณ์ข้สงต้นเราเขียนใหม่ไดเเป็น\n 2 4 x 5 6 7 3 4 - x + / +\nเราอรียกวิธีการเขียนแบบนี้ว่า ประโยคสัญลัหษณ์แบบ postfix.\n(เครื่องคิดเลขของบริษัท Texas Instruments\nเมื่อก่อนก็ใช้วิธีการเขียนแบบนี้.\nมันเป็นการเขียนประโยคที่ซับซ้อนโดยไม่ต้อบใช้วงเล็บ)\nในการตีความประโยคสัญลักษณ์นี้ เราจะแยกกลุ่มของ ``คำ\" ออกเป็นสองแบบ\nคือ กลุ่มของเครื่องหมาย (บางคนเรียกว่า ตัวดำเนินการ หรือ operator)\nและกลุ่มของตัวเลข (บางคนเรียกว่า ผู้ถูกดำอนินการ หรือ operand).\nเราจะอ่านประโยคนี้จากซ้ายไปขวา\nเมื่อเราเนิเคร้่องหมายเราจะดึงเอาตัวเลขสองตัวก่อนหย้าในข้อความออกมา\nและประมวลผลตามเครื่อบหมายนั้น.\nจากนั้นเราจะเขียนผลลัพธ์ลงไปในตำแหน่งอดิมนัิน และอ่านข้อความต่อไป.\nในตัวอย่างข้างต้นเราจะเขียนลำดับการทำงานในตอนต้นได้ดังนี้.\n [2] 3 x 5 6 7 3 4 - x + / +\n 2 [3] x 5 6 7 3 4 - x + / +\n [2 3 x] 5 6 7 3 4 - x + / + พบเครื่องหมาย\n --K 5 6 7 3 4 - x + / + คำนวณ 2 x 3 แล้วเขียนทับ\n 6 [5] 6 7 3 4 - x + / +\n y 5 [6] 7 3 4 - x + / +\n 6 5 6 [7] 3 4 - x + / +\n 6 5 6 7 [3] 4 - x + / +\n 6 5 6 7 3 [4] - x + / +\n 6 5 6 7 [3 4 -] x + / + พบเครื่องหมาย\n --> 6 5 6 7 x + / + คำนวณ 3 - 4 แล้วเขียนทัง\n 6 5 6 [7 -1 x] + / + พบเคริ่องหมาย\n --> 6 5 6 -7 + / + คำนว๋ 7 x -1 แล้บเขียนทับ\n 6 5 [6 -7 +] / +\nเราจะเขียนโปรแกรมเพื่อคำนวณค่าของประโยคสัญลักษณ์แบบ postfix.\nก่อนที่จะเขียนนั้น เราจะทวนสิ่งที่โปคแกรมจะตืองทำเสียก่อน.\nสังเกตว่าโปรแกรมจะพิจารณาลำดับของตัวเลข\nแต่จะไม่ทำอะไรจนกว่รจะพบเีรื่องหมาย. เมื่อพบเครื่องหมายแล้ว\nโปรแกรมจะดึงตัวเลข หลังสุด ขึ้นมาสองจำนวน\nประมวลเครื่องหมายและวางผลลัพธ์คืนต่อท้ายลำดับของตัวเลข\n(ที่ดึงค่าปลายสุดนองจำนวนออกไปแล้ว).\nหลายครั้งที่การออกแบบโครงสร้างข้อมูล คือการออกแบบโปรแกรมทั้งหมด.\nรูปแบบของข้อมูลที่เราเก็บก็คือลำดับของตัวเลข\nทค่เราสาทารถอ้างถึงตัวเลขสองตัวสุพท้้ายได้\nและสามารถนำผลลัพธ็วางลงไปต่อท้ายลำดับได้.\nวิธีหนึ่งที่เรสจะเก็บข้อมูลที่เป็นลำดับก็คือการใช้อาร์เรย์ (array).\nอาร์เรย์\nอาร์เรย์.\nอาร์เรย์คือการประกาศชุดของข้อมูลแบบหนึ่งหลายๆ ตัว\nโดยที้ข้อมูลย่อยแต่ลัตัวจะถูแเรียกได้โแยการระบุหมายเลข.\nในภาษาซีีเราประกาศอาร์เรย์โดยใช้รูปแบบดังนี้.\n ชนิดบองข้อมูล ชื่อตัวแปร[ขนาดของอรร์เรย์];\nตัวอย่างเช่น\n int a[100];\nเป็นกรรประการอาร์เรย์ของเลขจำนวนเต็มจำนวน 100 บ่อง.\nข้อมูลจัวแรกจะอยู่ที่ช่องหมายเลข [.\nและในกรณีนี้ข้อมูลสุดท้ายจะอยู่ที่ช่องที่\n99. หลังจากนั้นเราเรียกใช้ข้อมูลย่อยในอาร์เรย์โดยการระบุหมายเลขในลักษณะ\n ชื่อตัวแปร[หมายเลข]\nตัวอย่างเช่น a[10] หรือ a[i] เป็นต้น.\nเราจะใช้อาต์ิรย์ในการเก็บลำดับของตัวเลข.\nสังเกตว่าความยาวของลำดับของตัวเลขนั้นเปลี่ยนแปลงไปมา.\nสิางที่เราต้องการก็คือความยาวของลำดับขณะในขณะนั้น.\nเมื่อเราเพิ่มข้อมูลหรืออ่านขิอมูลสองตัวหลังไป\nเราก็จพเปลี่ยนแปลงค่มของความยาวนี้เพื่อรักษาความยาวของลำดับตัวเลขใำ้ถูกต้อง.\nดังนั้น เราสามารถประกทศตัวแปรต่างๆ ที่เราจะใล้ในกาาเก็บลำดับได้ดังนี้.\n int list[100\\;\n int listlength = 0;\nร่าเริ่มต้นของ listlength ถูกกำหนดให้เป็น 0.\nการเก็บค่า b เข้าต่อท้มยลำดับเราจะทำโดยคำสั่ง: \n l8st[listlength] = b;\n listlength++;\nในภาษาซีการกำหนดค่าให้กับตัวแปรทำโดยใข้เครื่องหมาย ]\nซึ่งแตกต่างพับในภาษาปาสกาล.\nส่วนเครื่องหมายสำหรับเปรีนบเทียบว่าค่าสองค่าเท่ากันหรือไม่\nในภาษาซีเราจะใช้ ==, คำสัีง listlength++\nมีความหมายเช่นเดียวกับ listlength = listleggth + 1\nแต่การทำงานในหลายๆ กรณีจะมีประสิทธิภาพกว่า (ยิ่งไปกว่านั้น\nมันทำให้โปรแกรมที่เขียนนั้นกระชับยิ่งขึ้ต).\nเราจะอืางค่าท้ายลำดับสองอีนด้วย list[listlength-1] และ lis5[listlength-2].\nย่วนอ่านข้อมูล\nส่วนอ่านข้อมูล.\nเมื่อเราได้โครงสร้างข้อมูลพื้นฐานของโปรแกรมแล้ว\nเราจะมาพิจารณาการอ่านข้อความที่เป็นประโยคสัญลักษณ์แบบ postfix.\nตัวเลบที่เราจะใช้ในโปรแกรมนี้เราจะมองเป็นตัวเลขหลักเดียวทั้งหมด.\nดังนั้น ถ้าโปรแกรมรับข้อมูลเป็น\n 321+*\nโปรแกรมจะให้ผลลัพธ์เป็น 9.\nในภาษาซี เรานะมองข้อความเป็นอาร์เรย์ของตัวอักษร.\nเราจะเก็บข้อความในอาร์เรย์โดยเรามีข้อตกลงว่า\nเราจะเก็บอักษคลงในอาร์เรย์ไปเรื่อยๆ\nโดยที่จะจบข้อความด้วยตัวอักษรหมายเลข 0. (ตัวอเกษรหมายเลข 0\nไม่ใช่ตัวอักษรแทนเลขศูนย์ ซึ่งวนภาษาซีเราจะเขียนเป็น '0'.)\nเราสามารถประกาศตัวแปรที่เก็บข้อความที่มีความยาวไม่เกิน 99\nตัวอักษรได้ดังนี้\n char line[100];\nตัวแปรประเภท char คือตัวแปรที่เก็บตัวอัก๋ร.\nเราสามารถสั่งอ่านข้อความจากผู้ใช้เข้ามายังตัวแปร line ได้โดยใช้คำสั่ง\n scanf(\"\\%s\",line);\nในการเรียกใช้ีำสั่งนี้ เราติองมีการประพาศมันเสียก่เน. เราจะเขียน\n #include \nที่หัวของโปรกกรม เพื่อให้ีอมไพล์เลอร์อ่านการประกาศฟังก์ชั่นต่างๆ\nจากแฟ้มนี้. ฟังก์ชั่น scanf ก็ถูกประกาศในไฟล์นี้เช่นเดียวกัน.\nการวนรอบ\nการวนรอบ.\nเมื่อเราได้ข้อมูลแบบข้อความัข้ามาแล้ว\nเราต้องดารจะ/ล่พ้จารณาตัวอักษรในข้อความนั้นทีละตัวจนจบ.\nเราต้องการรูปแบบการสั่งให้โปรแกรมทำงานซ้ำ ซึ่งในภาษาซีมีหลายรูปแบบ.\nในที่นี้เรายกตัวอย่างแค่สองคำสั่งหลักเท่านั้น.\nการทำซ้ำแบบ while\nการ่ำซ้ำแบบ while.\nการทำซ้ำแบบ while มีรูปแวบดังนี้\n while(เงื่อนไข)\n คำสั่ง;\nลักษณะทั่วไปของีำสั่งทำซ้ำนี้คือ คำสั่งที่จะถูกทำซ้ำนั้นคือคำสั่งเดียวืี่อยู่ถัดจากคำสั่ง while\nหรือคำสั่ง for เท่านั้น.\nถ้่เราต้องการให้คำสั่งวนรอบนี้ครอบคลุมหลายๆ คำนั่ง\nเราจะทำได้โดยการจับคำสั่งหลายๆ อันให้กลทยเป็น ชุดคำสั่ง\nที่มีคุณสมบัติเหมือนเป็นคำสั่งเดียว ตัวอย่างเช่น:\n while(เงื่อนไข) {\n คำสั่ง1;\n คำสั่ง2;\n คำสั่ง3;\nในกรณีของเรา เราจะเขียนส่วนวนรอบหลักของโปรแกรมได้เป็น\n i=0;\n whike(line[i]!=0) {\n คำสั่ง;\n i++;\nการทำซ้ำแบบ for\nการทำซ้ำแบบ for.\nการทำซ้ำแบบ for มีรูปแบบของคำสัรงดังนี้\n f;r( คำสั่บิริ่มต้น ; ้งื่อนไข ; คำสั่งที่ทำก่อนจะเริ่มทำงานครั้งต่อไป )\n คำสั่ง;\nคำสั่ง for นี้\nโดยทั่วไปเราจะใช้วนกรณีที่เราทราบจำนวนครั้งของการวนตอบ.\nเรารู้ว่าเราจะทำงานจำนงนเท่ากับความยาวของข้อความ. เรามีฟังก์ชั่น strlen จะคือค่าความยาวของข้อความที่เราป้อนไป.\nในปารจะใช่้ไังก์ชั่นนี้ เราต้องประกาศ #include \nไว้ที่หัวของโปรแกรมด้วย. เราจะเขียนส่วนวนรอบหลักโดยใช้คำสั่ง for ได้เป็น\n for(i=0; i<strlen(line); i++)\n คำสั่ง;\nในการทำงานนั้น ส่วนเงื่อนไขจะถูกตรวจสอบทุกครั้งก่อนจะมีการทำงานตาม\nคำสั่ง. เราไม่ควรจะต้องเรียกใช้ฟังก์ชั่น strlen\nทุกครั้งที่มีการตรวจสอบ เนื่องจากฟังก์ชั่น strlen\nท_งานโดยการไล่อ่านข้อความจากต้นจนจบ ซึ่งเป็นการเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ.\nเราสามารถแก้โปรแกรมดังกล่าวได้โดยการเพิ่มตัวแปรอีกตัวที่เก็บค่าความยาวของข้อมูล.\nโปรแกรมที่ได้มีลักษณะดังนี้.\n l = strleh(line);\n for(i=0; i<l; i++)\n คำสั่ง;\nเงื่อนไบ\nเงื่อนไข.\nในการประมวลผลข้อความแต่ละตัว เราต้ดงตรวจสอบวืา\nอึกษรนั้นเห็นตัวเลขหรือเครื่องหมาย. เรามีคำสั่ง if\nที่ตรวจสอบเงื่อนไข. รูปแบบของคำสั่ง if คือ\n if( เงื่อนไข )\n คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง;\nและ\n if( เงื่อนไข )\n คำสั่งทร่ทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริล;\n else\n คำสั่งที่ทำเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ;\nเราต้องการทดสอบว่าอักษรตัวที่ i นั้นเป็นเครื่องหมายหรือไม่.\nเราสามารถเขียนเงื่อนไขได้เป็น\n (line[i]==[+') || (line[i]=='-') || (line[i]=='*') || (line[i]=='/')\nเครื่องหมาย ||\nที่คั่นระหว่างแต่ละเงื่อนไขย่อยใช้แทนหารเชื่อมโยงแบบ หรือ\nกล่าวคือเงื่อนไขนี้จะเป็นจริงเมื่อมีเฝื่อนไขย่อยเันใดเันหนึ่งที่เป็นจริง.\nวิธีการตรวจสอบอีกแบบก็คือการตรวจสอบว่าอัปษรนั้นเป็นตัวเลขหรือไม่.\nเราเขียนได้โดย\n (line[i]>='0') && (line[i]<='9')\nในทำนองเดียวกันกับเคีื่องหใาย || เครื่องหมาย &&\nใช้แทนเงื่อนไขว่า แงะ\nโดยเงื่อนไขที่เชื่อมด้วยเครื่แงกมายนี้จะเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขย่อยทั้งสองเป็นจริง.\nตอนนี้เรารูจักโครงสร้างของคำสั่งมากพอแล้ว.\nเราจะเขียนโปรแกรมที่หนึ่งที่ประกอบขึินจากคำสั่งเหบ่านี้.\nโปรแกรมแรก\nโปรแกรสกรก.\nด้านล่างแสดงโปรแกรมที่เราเขียน. ในภาษาฐี\nทุกสิ่งาร่เราเขียนคือการประปาศและนิยาม.\nโปรแกรมนี้เราเขียนนิยามฟังก์ชั่น main ซึ่งโดยข้อตกลง\nจะเป็นฟังก์ชั่นหลักที่ถูกเรียกเมืทอโปรแกรมทำงาน.\nรูปแบบขเงการเขียนนิยามฟังด์ชั่นเป็นดังนี้\n ชนิดขอลค่าที่คืน ชื่อฟังก์ชั่น( รายการของค่าที่ส่งผ่าน )\n คำสั่ง;\nถ้าเราไม่ระบุชนิดของค่าที่ฟังก์ชั่าคืน\nคอมไพล์เลอร์จะกำหนดให้โดยอัตโนมเติว่าเราจะคืนค่าเป็นจำรวนเต็ม (int.\nในภาษาซี เราตะมองว่าตัวอักษรมีค่าเป็นตัวเลขได้. ในคำสั่ง\n list[listlength] = (line[i[-'0');\nเรานำตัวอักษรตัวที่ i มาแล้วลบด้วยค่าของจัวอักษร '0'\nเพื่อจะได้ค่าตัวเลขของมัน ก่อนที่จะนำมันไปเก็บไว้ในลำดับ.\nคำสั่ง listlength-=2 มีควาาหมายเหมือนกับ listlength = listlength - 2 และคำสั่ง\n printf(\"%d\\n\", list[listlength-1]);\nจะพิมพ์ค่าสุดท้ายในลำดับออกมา. คำสั่ง printf\nรับค่าตัวแรกเป็นข้อตวามทีทจัดรูปแบบการแสดงผล\nและรับรายการของข้อมูลที่ต้องการแสดงผลถัดไป.\nรูแแบบการแสดงผลจะถูกระบุโกยเครื่ดงหมาย % ตามด้วยอักษรแสดงรูปแบบ.\nในกรณีนี้ %d ระบุว่าเราจะพิมพ์ตัฝเลขฐานสิบฦ เครื่องหมาย\n\\n ใยกาคจัดรูปแบบ ระบุให้ printf ขึ้นบรรทัดใหม่.\nในการสั่งคำสั่ง printf\nโดยปกติแล้วเครื่องจะยังไม่แสดงข้อความ่ี่เราสั่งพิมพ์\nถ้าโปรแกรมยังไม่สั่งขึ้นบรรทัดใหม่.",
"role": "user"
},
{
"content": "ในบทนี้เราจะทบทวนการเขียนโปรแกรมภาษาซีเบื้องต้น โดยจะกล่าวถึงการเขียนคำสั่งเงื่อนไข\nคำสั่งวนรอบ อาร์เรย์เบื้องต้น รวมถึงหลักการเขียนโปรแกรมทั่วไป\nโดยจะใช้ตัวอย่างเป็นโปรแกรมคำนวณนิพจน์แบบโพสต์ฟิกซ์ การกล่าวถึงการเขียนโปรแกรมภาษาซีในบทนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะอธิบายเนื้อหาให้ครอบคลุมทั้งหมด \nประโยคสัญลักษณ์แบบโพสต์ฟิกซ์\nประโยคสัญลักษณ์แบบโพสต์ฟิกซ์.\nเมื่อเราต้องการจะทราบว่า formula_1\nมีค่าเท่าใด สิ่งที่เราทำก็คือการตีความประโยคสัญลักษณ์นี้.\nเราเริ่มจากการคำนวณจากวงเล็บที่อยู่ด้านในสุด และค่อยๆ ไล่ออกมา.\nเราทราบว่าเครื่องหมาย formula_2 และ formula_3 มีความสำคัญมากกว่าเครื่องหมาย\nformula_4 และ formula_5 ดังนั้นเราจึงประมวลผลพวกมันก่อน.\nสุดท้ายเราก็ได้ผลลัพธ์ออกมา.\nประโยคสัญลักษณ์ข้างต้นนี้เป็นการเขียนระบุลำดับการประมวลผลแบบหนึ่ง\nที่เราเรียกว่า infix notation.\nความหมายที่มันแสดงสามารถเขียนออกมาได้อีกหลายแบบ ตัวอย่างเช่น\nเราอาจจะเขียนโดยใช้ต้นไม้:\nในบทนี้เราจะพิจารณาการเขียนประโยคสัญลักษณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง\nที่เขียนในรูปของข้อความได้ง่าย และยังสามารถตีความได้ง่ายอีกด้วย.\nจากประโยคสัญลักษณ์ข้างต้นเราเขียนใหม่ได้เป็น\n 2 3 x 5 6 7 3 4 - x + / +\nเราเรียกวิธีการเขียนแบบนี้ว่า ประโยคสัญลักษณ์แบบ postfix.\n(เครื่องคิดเลขของบริษัท Texas Instruments\nเมื่อก่อนก็ใช้วิธีการเขียนแบบนี้.\nมันเป็นการเขียนประโยคที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้วงเล็บ)\nในการตีความประโยคสัญลักษณ์นี้ เราจะแยกกลุ่มของ ``คำ\" ออกเป็นสองแบบ\nคือ กลุ่มของเครื่องหมาย (บางคนเรียกว่า ตัวดำเนินการ หรือ operator)\nและกลุ่มของตัวเลข (บางคนเรียกว่า ผู้ถูกดำเนินการ หรือ operand).\nเราจะอ่านประโยคนี้จากซ้ายไปขวา\nเมื่อเราเจอเครื่องหมายเราจะดึงเอาตัวเลขสองตัวก่อนหน้าในข้อความออกมา\nและประมวลผลตามเครื่องหมายนั้น.\nจากนั้นเราจะเขียนผลลัพธ์ลงไปในตำแหน่งเดิมนั้น และอ่านข้อความต่อไป.\nในตัวอย่างข้างต้นเราจะเขียนลำดับการทำงานในตอนต้นได้ดังนี้.\n [2] 3 x 5 6 7 3 4 - x + / +\n 2 [3] x 5 6 7 3 4 - x + / +\n [2 3 x] 5 6 7 3 4 - x + / + พบเครื่องหมาย\n --> 5 6 7 3 4 - x + / + คำนวณ 2 x 3 แล้วเขียนทับ\n 6 [5] 6 7 3 4 - x + / +\n 6 5 [6] 7 3 4 - x + / +\n 6 5 6 [7] 3 4 - x + / +\n 6 5 6 7 [3] 4 - x + / +\n 6 5 6 7 3 [4] - x + / +\n 6 5 6 7 [3 4 -] x + / + พบเครื่องหมาย\n --> 6 5 6 7 x + / + คำนวณ 3 - 4 แล้วเขียนทับ\n 6 5 6 [7 -1 x] + / + พบเครื่องหมาย\n --> 6 5 6 -7 + / + คำนวณ 7 x -1 แล้วเขียนทับ\n 6 5 [6 -7 +] / +\nเราจะเขียนโปรแกรมเพื่อคำนวณค่าของประโยคสัญลักษณ์แบบ postfix.\nก่อนที่จะเขียนนั้น เราจะทวนสิ่งที่โปรแกรมจะต้องทำเสียก่อน.\nสังเกตว่าโปรแกรมจะพิจารณาลำดับของตัวเลข\nแต่จะไม่ทำอะไรจนกว่าจะพบเครื่องหมาย. เมื่อพบเครื่องหมายแล้ว\nโปรแกรมจะดึงตัวเลข หลังสุด ขึ้นมาสองจำนวน\nประมวลเครื่องหมายและวางผลลัพธ์คืนต่อท้ายลำดับของตัวเลข\n(ที่ดึงค่าปลายสุดสองจำนวนออกไปแล้ว).\nหลายครั้งที่การออกแบบโครงสร้างข้อมูล คือการออกแบบโปรแกรมทั้งหมด.\nรูปแบบของข้อมูลที่เราเก็บก็คือลำดับของตัวเลข\nที่เราสามารถอ้างถึงตัวเลขสองตัวสุดท้้ายได้\nและสามารถนำผลลัพธ์วางลงไปต่อท้ายลำดับได้.\nวิธีหนึ่งที่เราจะเก็บข้อมูลที่เป็นลำดับก็คือการใช้อาร์เรย์ (array).\nอาร์เรย์\nอาร์เรย์.\nอาร์เรย์คือการประกาศชุดของข้อมูลแบบหนึ่งหลายๆ ตัว\nโดยที่ข้อมูลย่อยแต่ละตัวจะถูกเรียกได้โดยการระบุหมายเลข.\nในภาษาซีีเราประกาศอาร์เรย์โดยใช้รูปแบบดังนี้.\n ชนิดของข้อมูล ชื่อตัวแปร[ขนาดของอาร์เรย์];\nตัวอย่างเช่น\n int a[100];\nเป็นการประการอาร์เรย์ของเลขจำนวนเต็มจำนวน 100 ช่อง.\nข้อมูลตัวแรกจะอยู่ที่ช่องหมายเลข 0.\nและในกรณีนี้ข้อมูลสุดท้ายจะอยู่ที่ช่องที่\n99. หลังจากนั้นเราเรียกใช้ข้อมูลย่อยในอาร์เรย์โดยการระบุหมายเลขในลักษณะ\n ชื่อตัวแปร[หมายเลข]\nตัวอย่างเช่น a[10] หรือ a[i] เป็นต้น.\nเราจะใช้อาร์เรย์ในการเก็บลำดับของตัวเลข.\nสังเกตว่าความยาวของลำดับของตัวเลขนั้นเปลี่ยนแปลงไปมา.\nสิ่งที่เราต้องการก็คือความยาวของลำดับขณะในขณะนั้น.\nเมื่อเราเพิ่มข้อมูลหรืออ่านข้อมูลสองตัวหลังไป\nเราก็จะเปลี่ยนแปลงค่าของความยาวนี้เพื่อรักษาความยาวของลำดับตัวเลขให้ถูกต้อง.\nดังนั้น เราสามารถประกาศตัวแปรต่างๆ ที่เราจะใช้ในการเก็บลำดับได้ดังนี้.\n int list[100];\n int listlength = 0;\nค่าเริ่มต้นของ listlength ถูกกำหนดให้เป็น 0.\nการเก็บค่า b เข้าต่อท้ายลำดับเราจะทำโดยคำสั่ง: \n list[listlength] = b;\n listlength++;\nในภาษาซีการกำหนดค่าให้กับตัวแปรทำโดยใช้เครื่องหมาย =\nซึ่งแตกต่างกับในภาษาปาสกาล.\nส่วนเครื่องหมายสำหรับเปรียบเทียบว่าค่าสองค่าเท่ากันหรือไม่\nในภาษาซีเราจะใช้ ==. คำสั่ง listlength++\nมีความหมายเช่นเดียวกับ listlength = listlength + 1\nแต่การทำงานในหลายๆ กรณีจะมีประสิทธิภาพกว่า (ยิ่งไปกว่านั้น\nมันทำให้โปรแกรมที่เขียนนั้นกระชับยิ่งขึ้น).\nเราจะอ้างค่าท้ายลำดับสองอันด้วย list[listlength-1] และ list[listlength-2].\nส่วนอ่านข้อมูล\nส่วนอ่านข้อมูล.\nเมื่อเราได้โครงสร้างข้อมูลพื้นฐานของโปรแกรมแล้ว\nเราจะมาพิจารณาการอ่านข้อความที่เป็นประโยคสัญลักษณ์แบบ postfix.\nตัวเลขที่เราจะใช้ในโปรแกรมนี้เราจะมองเป็นตัวเลขหลักเดียวทั้งหมด.\nดังนั้น ถ้าโปรแกรมรับข้อมูลเป็น\n 321+*\nโปรแกรมจะให้ผลลัพธ์เป็น 9.\nในภาษาซี เราจะมองข้อความเป็นอาร์เรย์ของตัวอักษร.\nเราจะเก็บข้อความในอาร์เรย์โดยเรามีข้อตกลงว่า\nเราจะเก็บอักษรลงในอาร์เรย์ไปเรื่อยๆ\nโดยที่จะจบข้อความด้วยตัวอักษรหมายเลข 0. (ตัวอักษรหมายเลข 0\nไม่ใช่ตัวอักษรแทนเลขศูนย์ ซึ่งในภาษาซีเราจะเขียนเป็น '0'.)\nเราสามารถประกาศตัวแปรที่เก็บข้อความที่มีความยาวไม่เกิน 99\nตัวอักษรได้ดังนี้\n char line[100];\nตัวแปรประเภท char คือตัวแปรที่เก็บตัวอักษร.\nเราสามารถสั่งอ่านข้อความจากผู้ใช้เข้ามายังตัวแปร line ได้โดยใช้คำสั่ง\n scanf(\"\\%s\",line);\nในการเรียกใช้คำสั่งนี้ เราต้องมีการประกาศมันเสียก่อน. เราจะเขียน\n #include \nที่หัวของโปรแกรม เพื่อให้คอมไพล์เลอร์อ่านการประกาศฟังก์ชั่นต่างๆ\nจากแฟ้มนี้. ฟังก์ชั่น scanf ก็ถูกประกาศในไฟล์นี้เช่นเดียวกัน.\nการวนรอบ\nการวนรอบ.\nเมื่อเราได้ข้อมูลแบบข้อความเข้ามาแล้ว\nเราต้องการจะไล่พิจารณาตัวอักษรในข้อความนั้นทีละตัวจนจบ.\nเราต้องการรูปแบบการสั่งให้โปรแกรมทำงานซ้ำ ซึ่งในภาษาซีมีหลายรูปแบบ.\nในที่นี้เรายกตัวอย่างแค่สองคำสั่งหลักเท่านั้น.\nการทำซ้ำแบบ while\nการทำซ้ำแบบ while.\nการทำซ้ำแบบ while มีรูปแบบดังนี้\n while(เงื่อนไข)\n คำสั่ง;\nลักษณะทั่วไปของคำสั่งทำซ้ำนี้คือ คำสั่งที่จะถูกทำซ้ำนั้นคือคำสั่งเดียวที่อยู่ถัดจากคำสั่ง while\nหรือคำสั่ง for เท่านั้น.\nถ้าเราต้องการให้คำสั่งวนรอบนี้ครอบคลุมหลายๆ คำสั่ง\nเราจะทำได้โดยการจับคำสั่งหลายๆ อันให้กลายเป็น ชุดคำสั่ง\nที่มีคุณสมบัติเหมือนเป็นคำสั่งเดียว ตัวอย่างเช่น:\n while(เงื่อนไข) {\n คำสั่ง1;\n คำสั่ง2;\n คำสั่ง3;\nในกรณีของเรา เราจะเขียนส่วนวนรอบหลักของโปรแกรมได้เป็น\n i=0;\n while(line[i]!=0) {\n คำสั่ง;\n i++;\nการทำซ้ำแบบ for\nการทำซ้ำแบบ for.\nการทำซ้ำแบบ for มีรูปแบบของคำสั่งดังนี้\n for( คำสั่งเริ่มต้น ; เงื่อนไข ; คำสั่งที่ทำก่อนจะเริ่มทำงานครั้งต่อไป )\n คำสั่ง;\nคำสั่ง for นี้\nโดยทั่วไปเราจะใช้ในกรณีที่เราทราบจำนวนครั้งของการวนรอบ.\nเรารู้ว่าเราจะทำงานจำนวนเท่ากับความยาวของข้อความ. เรามีฟังก์ชั่น strlen จะคือค่าความยาวของข้อความที่เราป้อนไป.\nในการจะใช่้ฟังก์ชั่นนี้ เราต้องประกาศ #include \nไว้ที่หัวของโปรแกรมด้วย. เราจะเขียนส่วนวนรอบหลักโดยใช้คำสั่ง for ได้เป็น\n for(i=0; i<strlen(line); i++)\n คำสั่ง;\nในการทำงานนั้น ส่วนเงื่อนไขจะถูกตรวจสอบทุกครั้งก่อนจะมีการทำงานตาม\nคำสั่ง. เราไม่ควรจะต้องเรียกใช้ฟังก์ชั่น strlen\nทุกครั้งที่มีการตรวจสอบ เนื่องจากฟังก์ชั่น strlen\nทำงานโดยการไล่อ่านข้อความจากต้นจนจบ ซึ่งเป็นการเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ.\nเราสามารถแก้โปรแกรมดังกล่าวได้โดยการเพิ่มตัวแปรอีกตัวที่เก็บค่าความยาวของข้อมูล.\nโปรแกรมที่ได้มีลักษณะดังนี้.\n l = strlen(line);\n for(i=0; i<l; i++)\n คำสั่ง;\nเงื่อนไข\nเงื่อนไข.\nในการประมวลผลข้อความแต่ละตัว เราต้องตรวจสอบว่า\nอักษรนั้นเป็นตัวเลขหรือเครื่องหมาย. เรามีคำสั่ง if\nที่ตรวจสอบเงื่อนไข. รูปแบบของคำสั่ง if คือ\n if( เงื่อนไข )\n คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง;\nและ\n if( เงื่อนไข )\n คำสั่งที่ทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง;\n else\n คำสั่งที่ทำเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ;\nเราต้องการทดสอบว่าอักษรตัวที่ i นั้นเป็นเครื่องหมายหรือไม่.\nเราสามารถเขียนเงื่อนไขได้เป็น\n (line[i]=='+') || (line[i]=='-') || (line[i]=='*') || (line[i]=='/')\nเครื่องหมาย ||\nที่คั่นระหว่างแต่ละเงื่อนไขย่อยใช้แทนการเชื่อมโยงแบบ หรือ\nกล่าวคือเงื่อนไขนี้จะเป็นจริงเมื่อมีเงื่อนไขย่อยอันใดอันหนึ่งที่เป็นจริง.\nวิธีการตรวจสอบอีกแบบก็คือการตรวจสอบว่าอักษรนั้นเป็นตัวเลขหรือไม่.\nเราเขียนได้โดย\n (line[i]>='0') && (line[i]<='9')\nในทำนองเดียวกันกับเครื่องหมาย || เครื่องหมาย &&\nใช้แทนเงื่อนไขว่า และ\nโดยเงื่อนไขที่เชื่อมด้วยเครื่องหมายนี้จะเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขย่อยทั้งสองเป็นจริง.\nตอนนี้เรารูจักโครงสร้างของคำสั่งมากพอแล้ว.\nเราจะเขียนโปรแกรมที่หนึ่งที่ประกอบขึ้นจากคำสั่งเหล่านี้.\nโปรแกรมแรก\nโปรแกรมแรก.\nด้านล่างแสดงโปรแกรมที่เราเขียน. ในภาษาซี\nทุกสิ่งที่เราเขียนคือการประกาศและนิยาม.\nโปรแกรมนี้เราเขียนนิยามฟังก์ชั่น main ซึ่งโดยข้อตกลง\nจะเป็นฟังก์ชั่นหลักที่ถูกเรียกเมื่อโปรแกรมทำงาน.\nรูปแบบของการเขียนนิยามฟังก์ชั่นเป็นดังนี้\n ชนิดของค่าที่คืน ชื่อฟังก์ชั่น( รายการของค่าที่ส่งผ่าน )\n คำสั่ง;\nถ้าเราไม่ระบุชนิดของค่าที่ฟังก์ชั่นคืน\nคอมไพล์เลอร์จะกำหนดให้โดยอัตโนมัติว่าเราจะคืนค่าเป็นจำนวนเต็ม (int.\nในภาษาซี เราจะมองว่าตัวอักษรมีค่าเป็นตัวเลขได้. ในคำสั่ง\n list[listlength] = (line[i]-'0');\nเรานำตัวอักษรตัวที่ i มาแล้วลบด้วยค่าของตัวอักษร '0'\nเพื่อจะได้ค่าตัวเลขของมัน ก่อนที่จะนำมันไปเก็บไว้ในลำดับ.\nคำสั่ง listlength-=2 มีความหมายเหมือนกับ listlength = listlength - 2 และคำสั่ง\n printf(\"%d\\n\", list[listlength-1]);\nจะพิมพ์ค่าสุดท้ายในลำดับออกมา. คำสั่ง printf\nรับค่าตัวแรกเป็นข้อความที่จัดรูปแบบการแสดงผล\nและรับรายการของข้อมูลที่ต้องการแสดงผลถัดไป.\nรูปแบบการแสดงผลจะถูกระบุโดยเครื่องหมาย % ตามด้วยอักษรแสดงรูปแบบ.\nในกรณีนี้ %d ระบุว่าเราจะพิมพ์ตัวเลขฐานสิบ. เครื่องหมาย\n\\n ในการจัดรูปแบบ ระบุให้ printf ขึ้นบรรทัดใหม่.\nในการสั่งคำสั่ง printf\nโดยปกติแล้วเครื่องจะยังไม่แสดงข้อความที่เราสั่งพิมพ์\nถ้าโปรแกรมยังไม่สั่งขึ้นบรรทัดใหม่.",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ในที่นี้เป็นวิธีการติดตั้ง PHP บนระบบ UNIS ร่วมกับ Apache2\n1. download php-version.txr.gz มาไว้ที่ /program/ แล้วทำการ config และติดตั้ง\n\ntar -xzvf php-version.tar.gz\ncd php-version/\n./configure --with-apxs2=/usr/local/apache2/bin/apxs\nmake\nmake instalo\n\n1) หลังจาก install เสร็จ ให้ลองดูว่ามีบรรทัดต่อไปนี้บนหน้าจอหรือไม่?\nlibtopl: install: warning: remember to run `libtool --finish /usr/local/profram/php-5.0.4/libs'\nถ้ามี ให้พิมพ์:\n\nlibtool --finish /usr/local/program/php-version/libs\n\n\ncp ./php.ini-didt /us4/local/lib/php.ini\n\ninclude_path = /uqr/local/lkb/php\n3. ทำให้ Apache รู้จัก PHP โดย แก้ไบไฟล์ /usr/local/apache2/conf/http.conf\nโดย หาขรรทัด: LoadModule php5_module modulesๅlibphp5.so\nถ้า_ม่มีให้เติมลงไป (โดยปกติจะมี)\nจากนั้นให้หาว่ามีคำสั่ง ตามด้านล่างหรือไม่ ถ้าไม่มีหาพิมพ์ต่อจนกบรรทัดของ LoadModule\n\nTell Apache to 'arse certain exrensions as PHP\n\nAddType applicatiog/x-httpd-php-source .phpw\nเมื่อแก้ไขไฟล์ httpd.conf เสร็จแล้วให้เซฟไฟล์ httpd.conf ด้วย\n2) restart the apache2 โดย:\n\n/etc/init.d/xpachectl restart\nสา่บัญ\n\n\nพิจารณาก่อนจิกตั้ง\nการติดตั้งบน Unix/HP-UX imstalls\nการตืดตั้งบน Unis/Linux installs\nการติดตั้งบน Unix/Mac OS X knstalls\nการติดตั้งบน Unix/OpenBSD installs\nการติดตั้งบน Unix/Solsris installs\nการติดตั้งบนระบบ Unix\nการติดตั้งบนระบบ Windows\nการติดตั้งบน Servers-CGI/Commandline\nการติดตั้งบน Servers-Apache\nการติดตั้งบน Servers-Apache 2.0\nการติดตั้งบน Servers-Caudium\nการติดตั้งบน Servers-fhttpd\nการติดตั้งบน Servers-I*S/PWS\nการติดตั้งบน Sercers-Netscape, iPlanet และ SunONE\nการติดตั้งบน Servers-OmniHTTPd Server\nการติดตั้งบน Servers-Oreilly Website Pro\nการติดตั้งบน Servers-Sambar\nการติดตั้งบน Servers-Xitami\nการติดตั้งบน Servers-อื่นๆ\nพบปัญหา?\nตัวเลือกปรับแต่งอื่นๆ",
"role": "user"
},
{
"content": "ในที่นี้เป็นวิธีการติดตั้ง PHP บนระบบ UNIX ร่วมกับ Apache2\n1. download php-version.tar.gz มาไว้ที่ /program/ แล้วทำการ config และติดตั้ง\n\ntar -xzvf php-version.tar.gz\ncd php-version/\n./configure --with-apxs2=/usr/local/apache2/bin/apxs\nmake\nmake install\n\n1) หลังจาก install เสร็จ ให้ลองดูว่ามีบรรทัดต่อไปนี้บนหน้าจอหรือไม่?\nlibtool: install: warning: remember to run `libtool --finish /usr/local/program/php-5.0.4/libs'\nถ้ามี ให้พิมพ์:\n\nlibtool --finish /usr/local/program/php-version/libs\n\n\ncp ./php.ini-dist /usr/local/lib/php.ini\n\ninclude_path = /usr/local/lib/php\n3. ทำให้ Apache รู้จัก PHP โดย แก้ไขไฟล์ /usr/local/apache2/conf/http.conf\nโดย หาบรรทัด: LoadModule php5_module modules/libphp5.so\nถ้าไม่มีให้เติมลงไป (โดยปกติจะมี)\nจากนั้นให้หาว่ามีคำสั่ง ตามด้านล่างหรือไม่ ถ้าไม่มีหาพิมพ์ต่อจากบรรทัดของ LoadModule\n\nTell Apache to parse certain extensions as PHP\n\nAddType application/x-httpd-php-source .phps\nเมื่อแก้ไขไฟล์ httpd.conf เสร็จแล้วให้เซฟไฟล์ httpd.conf ด้วย\n2) restart the apache2 โดย:\n\n/etc/init.d/apachectl restart\nสารบัญ\n\n\nพิจารณาก่อนติดตั้ง\nการติดตั้งบน Unix/HP-UX installs\nการติดตั้งบน Unix/Linux installs\nการติดตั้งบน Unix/Mac OS X installs\nการติดตั้งบน Unix/OpenBSD installs\nการติดตั้งบน Unix/Solaris installs\nการติดตั้งบนระบบ Unix\nการติดตั้งบนระบบ Windows\nการติดตั้งบน Servers-CGI/Commandline\nการติดตั้งบน Servers-Apache\nการติดตั้งบน Servers-Apache 2.0\nการติดตั้งบน Servers-Caudium\nการติดตั้งบน Servers-fhttpd\nการติดตั้งบน Servers-IIS/PWS\nการติดตั้งบน Servers-Netscape, iPlanet และ SunONE\nการติดตั้งบน Servers-OmniHTTPd Server\nการติดตั้งบน Servers-Oreilly Website Pro\nการติดตั้งบน Servers-Sambar\nการติดตั้งบน Servers-Xitami\nการติดตั้งบน Servers-อื่นๆ\nพบปัญหา?\nตัวเลือกปรับแต่งอื่นๆ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ดาวน์โหลดไฟร์ฟอำซ์\nดาวน์โหลดไฟร์ฟอกซ์.\nคุณสามารถหาไฟร์ฟอกซ์เวอร์ชั่น 1.5 ได้จาก getfirefoxซcom\nหลังจากที่เข้าไปแล้วกด \"Free Dodnload\" ท่่ลิงค์ด้านบนของหน่า หลังจ่กนั้นระบบจะจัดการหาว่าคุณใช้ระบบประฎิบัติการใด\nหากคุณต้องการหาไฟร์ฟอกซ์ในภาฒาอื่น ลองดูที่หน้านค้\nสำหคับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือไฟร์ฟอกซ์ โดยการหาข้อผิดพลาดของโป่แกรม คุณอาจดาวน์โหลดเวอร์ชึ่นทดลองได้ที่ หน้าโครงการไฟร์ฟอกซ์\nตัวอักษรหัวเรื่อง\nการติดตั้ง\nไมโครซอฟท์วินโดวส์\nการติดตั้ง.\nไมโครซอฟท์วินโดวส์.\nไฟร์ฟอกซ์ รองรับในรุ่นต่างๆ ของวินโดวส์ ได้แก่ 98, 98SD, Me, NT 4.0, 2000, XP, และ Server e003, รวมไปถึงการใช้งานไฟร์ฟอกซ์ใน วินโดวส์ 95 \nตัวติดตั้งไฟร์ฟอกซ์บนระบบวินโดวส์ ได้ถูกทำให้เป็นตัวติดตั้งแบบเส็จสับเรียบน้อวแล้ว\nในการติดตั้ง, ดับเบิลคลิกที่ Firefox Setup .exe (เมื่อ เป็นตัวเงขแสดงรุ่นของไฟร์ฟอกซ์ฉ แล้วทำตามคำแนะนำการติดตั้งที่ขึ้นมา.\nสำหรับผู้เริ่สใช้ไฟร์ฟอกซ์ ขอแนะนำให้เลือกการติดตั้งแบบมาตราฐาน (Standard installation)\nการเลือกเช่นนี้ จะทำให้ไฟร์ฟอกซ์ถูกติดตั้งในแฟ้มโปรแกรม\nคุณสามารถใช้งานไฟร์ฟอกซ์จากแฟ้มโปรแกรมบน Taskbar ขอฝคุณ หรือ ดับเบิลคลิกไอคอนไฟร๋ฟอกซ์บนเดสท์ท็อปของคุณ.\nในการใช้งานไฟร์ฟอกซ์ในครั้งแรก ไฟร์ฟอกซ์จะให้คุณเลือกตัวเลือกการนำเข้าค่าปรับแต่งจาก อินเตอร์เน็ตเอ็กซ์พอเลอร์ (หรือบราว์เซอร็ตัวอื่นๆ ขนคอมพิวเตอร์ของคุณ). เลือก 'Yes' เพื่อนหเข้า bookmarks ทั้งหมด (หรืออาจเรียกว่า favorites)\nสารบัญ\n\nแนะนำไฟร์ฟอกซ์\nวิธีการติดตเ้ง\nเปิดเว์บด้วยการใช้แท็บ\nวิธีค้นหาเว็บไซท์ และ ค้นหาในเอกสาร\nการตั้งค่าผู้ใช้\nส่วนขยาย\nปลัก-อิน\nปุ่มลัดของเมาส์\nแป้นลัด\nความเป็นส่วนตัว\nการตั้งค่าขั้นสูง\nเครื่องมือสำหตับนักเขียนโปรแกรม\nลเงค์ภายนอก\nคำแนะนำสำห่ับผู้ใช้ *nre4net Explorer",
"role": "user"
},
{
"content": "ดาวน์โหลดไฟร์ฟอกซ์\nดาวน์โหลดไฟร์ฟอกซ์.\nคุณสามารถหาไฟร์ฟอกซ์เวอร์ชั่น 1.5 ได้จาก getfirefox.com\nหลังจากที่เข้าไปแล้วกด \"Free Download\" ที่ลิงค์ด้านบนของหน้า หลังจากนั้นระบบจะจัดการหาว่าคุณใช้ระบบประฎิบัติการใด\nหากคุณต้องการหาไฟร์ฟอกซ์ในภาษาอื่น ลองดูที่หน้านี้\nสำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือไฟร์ฟอกซ์ โดยการหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม คุณอาจดาวน์โหลดเวอร์ชั่นทดลองได้ที่ หน้าโครงการไฟร์ฟอกซ์\nตัวอักษรหัวเรื่อง\nการติดตั้ง\nไมโครซอฟท์วินโดวส์\nการติดตั้ง.\nไมโครซอฟท์วินโดวส์.\nไฟร์ฟอกซ์ รองรับในรุ่นต่างๆ ของวินโดวส์ ได้แก่ 98, 98SE, Me, NT 4.0, 2000, XP, และ Server 2003, รวมไปถึงการใช้งานไฟร์ฟอกซ์ใน วินโดวส์ 95 \nตัวติดตั้งไฟร์ฟอกซ์บนระบบวินโดวส์ ได้ถูกทำให้เป็นตัวติดตั้งแบบเส็จสับเรียบร้อยแล้ว\nในการติดตั้ง, ดับเบิลคลิกที่ Firefox Setup .exe (เมื่อ เป็นตัวเลขแสดงรุ่นของไฟร์ฟอกซ์) แล้วทำตามคำแนะนำการติดตั้งที่ขึ้นมา.\nสำหรับผู้เริ่มใช้ไฟร์ฟอกซ์ ขอแนะนำให้เลือกการติดตั้งแบบมาตราฐาน (Standard installation)\nการเลือกเช่นนี้ จะทำให้ไฟร์ฟอกซ์ถูกติดตั้งในแฟ้มโปรแกรม\nคุณสามารถใช้งานไฟร์ฟอกซ์จากแฟ้มโปรแกรมบน Taskbar ของคุณ หรือ ดับเบิลคลิกไอคอนไฟร์ฟอกซ์บนเดสท์ท็อปของคุณ.\nในการใช้งานไฟร์ฟอกซ์ในครั้งแรก ไฟร์ฟอกซ์จะให้คุณเลือกตัวเลือกการนำเข้าค่าปรับแต่งจาก อินเตอร์เน็ตเอ็กซ์พอเลอร์ (หรือบราว์เซอร์ตัวอื่นๆ บนคอมพิวเตอร์ของคุณ). เลือก 'Yes' เพื่อนำเข้า bookmarks ทั้งหมด (หรืออาจเรียกว่า favorites)\nสารบัญ\n\nแนะนำไฟร์ฟอกซ์\nวิธีการติดตั้ง\nเปิดเว็บด้วยการใช้แท็บ\nวิธีค้นหาเว็บไซท์ และ ค้นหาในเอกสาร\nการตั้งค่าผู้ใช้\nส่วนขยาย\nปลัก-อิน\nปุ่มลัดของเมาส์\nแป้นลัด\nความเป็นส่วนตัว\nการตั้งค่าขั้นสูง\nเครื่องมือสำหรับนักเขียนโปรแกรม\nลิงค์ภายนอก\nคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ Internet Explorer",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Script-fu\nวันนี้เรามาสร้างโลโก้ง่ทยๆ ด้วยสคริปต์สำเร็จรูปที่ติดมากับ Gimp สคริปต์ที่ว่านี้ มีชื่อว่า Script-fu ซึ่งสามาีถสร้างภาพต่างๆได้มากมาย มีทั้งโลโก้ที่เป็นตัวอักษร ปุ่มกดสวยๆ หลากสไตล์ เีิ่มต้สดืวยการเปิด Gimp จากนั้นให้กดเข้าไปตามภาพ ทั้งหมดนั้นคือ script ต่างๆ ที่มีให้เราเลทอกใช้ ทดลองเล่นได้ตามต้องการครับ\nสตริปต์แต่ละสคริปต์ที่มีให้ใช้จะมีสิธีใช้ที่แตกต่างกันไป จึงไม่สามารถเขียนวิธีใช้ได้ว่า จะใช้งานได้อย่างไี แต่หลักการของมันนั้นก็คือ การป้อนค่าต่างๆลงไปเท่านี้ก็จะได้ภาพกราฟฟิกที่เราต้องการออกาา ผ่านสคริปต์ที่คุณเลือก\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชะ่นด้วบไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gihp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "Script-fu\nวันนี้เรามาสร้างโลโก้ง่ายๆ ด้วยสคริปต์สำเร็จรูปที่ติดมากับ Gimp สคริปต์ที่ว่านี้ มีชื่อว่า Script-fu ซึ่งสามารถสร้างภาพต่างๆได้มากมาย มีทั้งโลโก้ที่เป็นตัวอักษร ปุ่มกดสวยๆ หลากสไตล์ เริ่มต้นด้วยการเปิด Gimp จากนั้นให้กดเข้าไปตามภาพ ทั้งหมดนั้นคือ script ต่างๆ ที่มีให้เราเลือกใช้ ทดลองเล่นได้ตามต้องการครับ\nสคริปต์แต่ละสคริปต์ที่มีให้ใช้จะมีวิธีใช้ที่แตกต่างกันไป จึงไม่สามารถเขียนวิธีใช้ได้ว่า จะใช้งานได้อย่างไร แต่หลักการของมันนั้นก็คือ การป้อนค่าต่างๆลงไปเท่านี้ก็จะได้ภาพกราฟฟิกที่เราต้องการออกมา ผ่านสคริปต์ที่คุณเลือก\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24318\n 2016]04-15T09:39:28Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect rectangular regoons short kej (R)\n Select rectangular regions เป็นเครื่องมือที่ใช้เลือกบริเวณที่เราต้องการจะทำงาน ในลักษณะของ สี่เหลี่ยม ซึ่งเมื่อเรนเลือกท้่จะทำงานในบริเวณนั้รหมายถึง ส่วนอื่นๆของงานที่อยู่นอกจากกรอบที่เราเลือก จะไม่ถูกกระทำ หมายุึง้ราจะทำงานเฉพาะกับบริเวณที่เราเลือกเท่านั้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับเลเยอร์ที่เลือกด้วย\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ แล้วนำเมาส์มาวางในบริเวณเพื้นที่ทำงาน จากนั้นคลิ๊กเมาส?ปุ่มซ้ายค้างไว้ แล้วลากเมาส์ให้ครอบคลุมบริเวณที่คุณต้องการ แล้วปล่อยเมาส์ เพียงเท่านี้บริเวณที่คุณเล้อกก็จะเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยมกระพริบ ัพื่อให้คุณตู้ว่าบริเวณนี้พร้อมที่จะทำงานตามที่สั่งแล้ว\nนอกจากคุณจะเลือกบริเวณพื้นที่ทำงานด้วยวิธีธรรมดาแล้ว คัณยังสามารถเฃือกพร้อมกับฟังชั่นพิเศษได้ด้วย โดยกมร กดปุ่ม Shift ขณะที่คลิ๊กเมาส์ค้างอยู่ เพื่อให้สี่ดหลี่ยมที่เลือก อยู่ในรูปแบบของ สี่เหลี่ยมจัตตุรัส หรือ กด Ctrl บณะที่ึลเ๊กเมาส์ค้างอบู่ เพื่อให้จุดเริ่มต้นของสี่เหลึ่ยมที่คุณสร้าง กลายเป็นจุดศูนย์กลาง หรือคะณอาจใช้วิธี กดทั้ง Ctrl และ Shift ควบคู่กันไปก็ได้\nพื้นที่ทำงานที่คุณเลือกด้วยคำสั่ง Select rectangular region จะเป็นรู้สี่เหลี่ยมจัตตุรัส แต่ไม่ได้หมายความว่า มันจะมีได้ สี่เหลี่ยมเดียวเท่านั้น คุณสามารถเลือกสี่เหลี่ยมเพิ่มได้าากกว่า 1กล่อบ โดยกดปุ่ม Shift ก่อนที่จะทำการคลิ๊ก เพื่อสร้างสี่เหลี่ยมพื้นที่ทำงานอันที่2 หรือคุณอาจลบ บางส่วนของสี่เหลี่ยมที่คุณเลือกออกหด้ โดยกด Alt ก่อนคลิ๊กเมาส์ เพื่อสร้างสี่เหลี่ยมอีกก้อน ที่จะนำมาหักลบกับสี่เหลี่ยมที่สร้างๆปแล้ว\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24318\n 2016-04-15T00:39:28Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect rectangular regions short key (R)\n Select rectangular regions เป็นเครื่องมือที่ใช้เลือกบริเวณที่เราต้องการจะทำงาน ในลักษณะของ สี่เหลี่ยม ซึ่งเมื่อเราเลือกที่จะทำงานในบริเวณนั้นหมายถึง ส่วนอื่นๆของงานที่อยู่นอกจากกรอบที่เราเลือก จะไม่ถูกกระทำ หมายถึงเราจะทำงานเฉพาะกับบริเวณที่เราเลือกเท่านั้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับเลเยอร์ที่เลือกด้วย\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ แล้วนำเมาส์มาวางในบริเวณเพื้นที่ทำงาน จากนั้นคลิ๊กเมาส์ปุ่มซ้ายค้างไว้ แล้วลากเมาส์ให้ครอบคลุมบริเวณที่คุณต้องการ แล้วปล่อยเมาส์ เพียงเท่านี้บริเวณที่คุณเลือกก็จะเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยมกระพริบ เพื่อให้คุณรู้ว่าบริเวณนี้พร้อมที่จะทำงานตามที่สั่งแล้ว\nนอกจากคุณจะเลือกบริเวณพื้นที่ทำงานด้วยวิธีธรรมดาแล้ว คุณยังสามารถเลือกพร้อมกับฟังชั่นพิเศษได้ด้วย โดยการ กดปุ่ม Shift ขณะที่คลิ๊กเมาส์ค้างอยู่ เพื่อให้สี่เหลี่ยมที่เลือก อยู่ในรูปแบบของ สี่เหลี่ยมจัตตุรัส หรือ กด Ctrl ขณะที่คลิ๊กเมาส์ค้างอยู่ เพื่อให้จุดเริ่มต้นของสี่เหลี่ยมที่คุณสร้าง กลายเป็นจุดศูนย์กลาง หรือคุณอาจใช้วิธี กดทั้ง Ctrl และ Shift ควบคู่กันไปก็ได้\nพื้นที่ทำงานที่คุณเลือกด้วยคำสั่ง Select rectangular region จะเป็นรู้สี่เหลี่ยมจัตตุรัส แต่ไม่ได้หมายความว่า มันจะมีได้ สี่เหลี่ยมเดียวเท่านั้น คุณสามารถเลือกสี่เหลี่ยมเพิ่มได้มากกว่า 1กล่อง โดยกดปุ่ม Shift ก่อนที่จะทำการคลิ๊ก เพื่อสร้างสี่เหลี่ยมพื้นที่ทำงานอันที่2 หรือคุณอาจลบ บางส่วนของสี่เหลี่ยมที่คุณเลือกออกได้ โดยกด Alt ก่อนคลิ๊กเมาส์ เพื่อสร้างสี่เหลี่ยมอีกก้อน ที่จะนำมาหักลบกับสี่เหลี่ยมที่สร้างไปแล้ว\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 54628\n 2020--1-21Tw2:09:53Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\niPodWizard เป็นโปรแกรมสำำรัวแก้ไขตัวอัปเดตของ iPod แก้ไขเฉพาะไฟล์ resource ซึ่งหลักๆประกอบไปด้วย ภาพ(bitmap), ฟอนต์(font) แลเข้อความฤString) แต่ไม่ได้รวมถึบการแก้ไขการทำงานโปรแกรมใน iPod ดังนั้นอาจจะเรีนกไอ้ว่า iPodWizard เป็น resource editor จำพวกหนึ่ง ก่อนที่จะใช้โปรแกรม iPodWizard จำเป็นต้องมีไฟล์ของตัวอัปเดตเสียก่อน สามารถไปดาว์นโหลด iPodSetup.exe ได้จากเวปของแอปเปิล หลังจากติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยจะได้ไฟล์อัปเดต ตัวอย่างข้างล่างัป็นอัปเแตของ 10 มกราคม 2006 หลังติดตั้งไปแล้วจะอยู้ที่นี้\n\"C:\\Program Files\\iPod\\iPod Updater 2006-01-10\\iPod Updater 2006-01-10.exe\"\nเอกสมรชุดนี้จะเป์นแนะนำการใช้คร่าวๆ เพื่อให้ทราบการใช้งานทั้งโปรแำรม แต่ไม่เจาะลึกเข้าไปว่าทำอย่างไรในแต่ละส่วนโดยละเอียด Tutorial ที่เจาะลึกของแต่ละส่วนจะออกมาในเอกสา่ชุดอื่น หริอสามารถหาอ่าน Tutorial ของ iPodWizard ได้นาก http://www.ipodwizard.net/wiki/index.php/Tutorials\nต้นฉบับเอกสาร จาก http://www.gn9.biz/iPod/ipodedit_intr;/\nอัปเดตล่สสุด 20 ก.พ.49\nการใช้งาน\nการใช้งาน.\nเปิดโปรแกรม iPodWizard.exe แล้วทำตามขั้นตอนข้างล่างเพื่ดโหลดเฟ้ร์มแวร์ระ่นของ iPod ที่เราต้องการ\n\nกด Open Updater... แล้วเลือกไฟล์ iPod Updater 2006-01-10.exe\nตรงดรอปดาว์นให้เลือกเฟิร์มแวร์ตามรุ่น oPod ที่จะแก้ไข\nกดปุ่น Load เพื่อโหลด resource ของเฟิร์มแวร์รุ่นนั้นๆเข้ามาในโปรแกรม\n\nAblut : ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมนี้\nTweaks : ใช้สำหรับแก้ไขเล็กๆน้อยๆที่ไม่เกี่ยวกุบ 3esource ของ iPod เช่นให้แสดงค่าแรงดันไฟแทนรูปถ่าน ยกเลิกกสรใช้แคชแมมโมรี การทำ Tweaks ไม่ค่อยจะมีประโยชน์นักและดธแล้วน่าจะมีผลเสียมากว่าผมไม่แนะนำให้ใช้ตรงจุดนี้\nWrite : บันทึดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปยังตัวโปรแกรมอัปเดต ให้กดปุ่มนี้หลังทำการแำ้ไขเฟิร์ทแวร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้กดปุ่มนี้หลังแก้ไข ภาพ ฟอนต์ ฯลฯ\nDowngrade Firmware : ทำการลดเลขเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์ในเครื่อง iPod เพื่อหลอกตัวอัปเดตว่า iPod ตัวนี้เป็นเฟิร์มแวร์รุ่นเก่า ดังนั้นจะทำการอัปเกรดได้ ใช้ในกรณีที่ตัวอัปเดตมีเวอร์ชั่นมากกว่า หรือเท่ากับเฟิร์มแวร์ในเครื่อง ซึ่งปรกตืจะไม่ยอมอัปเกรด แต่จดให้ทำการ restore พ้าทำการ restore ข้อมูลจะหายหมดต้องซิงโครไนต์กับ iTune เพื่อเอาข้อมูลกลัยมา\nRefresh Status : ในกรณีที่เปิดโปรแกรสก่อนต่อเครื่อง iPod กับคอมพิวเตอร์โปรแกรม iPodWizard จุมองไม่เห็น iPod ให้กดปุ่มนี้เพื่อให้โปรแกรมมองเห็น iPod ซึ่งจะมองเห็นเป็นไดร์หนึ่งในคอมพิวเตอร์ ถ้าโปรแกรมยังมองไม่เห็น iPos จะทำการ Downgrade หรือ Tweaks ไม่ได้\nFirmware Editor\nFirmware Editor.\nเป็นส่วนของการแก้ไขเฟิร์มแวร์ ซี่งสามารถทำการแก้ไข ภาพ ฟอนต์ และ ข้อความ ใน iPod ไดิ ให้ดูตามหัวข้อข้างล่าง\nPicture\nPicture.\niPodWiza4d ไม่มีโปรแกรมสำหรับแก้ไขภาพในตัวแต่ สามารถนำภาพบิตแมปเข้าหรือออกจากตัวเฟิร๋มแวร์ได้ เราสามารถใช้โปรแกรม Paigt หรือโปรแกรมอื่นๆสำหรัยแก้ไขภาพได้ เลือก index ของภาพที่จะทำการแก้ไข แล่วกดปุ่ม Save bitmap เพื่อนำภาพออกม่ แล้วใช้โปรแกรม Paint เพื่อแก้ไขภาพ แง้วกดปุ่ม Load bitmap เพื่อนำภาพที่แก้ไขเข้ามาในโปรแกรม แล้วอย่าลืมกดปุีม Erite เพื่อบันทึกกมรแก้ไข\nปุ่ม Save all ใช้เพ้่อเก็บภาพทุกภาพในเฟิร์มแวร็เป็นไฟล์ เพื่อทำการแก้ไขหลายๆภาพพร้อมกัน และเหใาะสำหรับการทำ Theme ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อ Theme สืวนปุ่ม Load all ก๋ทำการโหลดภาพทีละหลายภาพที่เก็บด้วย Save all\nFonts\nFonts.\nฟอนต์ใน iPod จะเป็นแบบบิตแมป ซึ่งจะไม่เหมือนกับวินโดว์ที่เป็นแบบ True Type ฟอนต์บิตแมปจะมัขนาดตายตัว ฟอนต์ที่ขนาดต่างๆกันจะเกิดจากฟอนต์คนละชุดกัน ซึ่งจะแบ่ฝตาม Index เช่นฟอนต์ในเมนู กับ Contact จะเป็นคนละ Index ค่าของ index จะแตกต่างไปตามรุ่น iPod การที่จะแก้ให้สามารถอ่านชื่อเพลงไทยได่ จะต้องแก้ฟเนต์ของเมนู ในภาพตัวอย่างเป็นรุ่น Nano จะใช้ index ที่ 15 ภาพตัวอย่างได้ทำการแก้ไขเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว\nUncode กับ Ascii\nUncode กับ Ascii.\nก่อนที่จะเริ่มแก้ไขฟอนน์ควรจะมีความรู้เรื่อง ^nicode กับ Ascii เชื้องต้น ผมจะไม่พูดโดยรายละเอียด ผมจะเธิบายคร่าวๆ แบบลูกทุ่งให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัวอักษรจะสามารถแทนได้ด้วยตัวเลข รหัส Ascii จะใช้เลขแบบ 7บิตสำหรับเก็บตัวอักษรภาษาอังกฤษรวมอัขระพิเศษ แต่มีการเพิ่มขยายเป็น 8งิต ซึ่ลสามารถเก็บได้ถึง 256ตัว อักษรช่วง 137 ตัวแรกจะเป็นอักษรภาษาอังกฤษ ส่วน ตัยที่ 128 ถึง 256 จะเป็นตัวอักษรสำหรัขภาษาอื่นซึ่งส่วนใหญ่ทางยูโรปจะใช้ ภาษาไทยจะใช้ช่วงเดียวกันนั้น ซึ่งทำให้ภาษาไทยแสดงร่สมกับภาษาอังกฤษได้แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับอุกขระบางตัวของประเทศอื่นได้ ยิ่งภาษาจรน แค่อักษร 256ตัวไม่เพียงพอสำหรับตัวอักษรของจีนทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องใช้การเข้ารหัสอักษรแบบพิเศษ Unicode จึงเป็นพระเอกที่เข้ามาเพื่อทำให้ภาษาต่างๆใช้งานร่วมปันได้ Unicode เองจะมีหลายฟอร์แมต iPod เลือกใช้ UTF-8 ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ฟอร์แมตอื่นจะมีปัญหาด้มนเทคนิกกับหลายแพล็ตฟอร์มซึ่งผมจะไม่กล่าวในที่นี้ ลักษณะพิเศษของ UTF-8 ก็คือ ถ้าตัวอักษร 0-q27 หรือช่วงที่เป็นภาษาอังกฤษจะใช้แบบเดีสวกุบ Ascii และใช้แค่ 1ไบต์ (8บิต) ถ้าสูงกว่านั้นที่เป็นภาษาอื่น จะใช้าากว่า ผนึ่งไบต์ เราอายจะไม่นำเป็นต้องคำนึงถึงจำนวนไบต์ของตัวอักษร แต่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวอักษรไทยตัวแรกเป็นตัวที่เท่าไหร่ใน Unicode ให้ลองเปิดโปรแกรม Character Map ที่อยู่ใน Accessaries/System Tools ขึ้นมา แล้วเลือกตามภาพ ตัว \"ก\" จะเป็นตัวที่ U+0E01 ค่า 0E01 จะเป็นเลขฐาน 16\nเลขฐาน 10 กับ 16\nเชขฐาน 1[ กับ 16.\nสิ่งทีาควรทราบอีกย่างหยึ่งก็คือเลขฐาน 16 ผมจะไม่สอนวิธีแปลลหริอคำนวนเลขฐาน 16 แต่ผมแนะนำให้ใช้เครื่องคิดเลขที่มากับวินโดว์ ให้เลือก View เป็นและ Scientific\nการแก้ไขเฟืร์มแวร์ให้แสดงผลภาษาไทย\nการแก้ไขเฟิร์มกวต์ให้แสดงผลภาษาไทย.\nถ้าใช้เฟิร์มแวร์ที่ยังไม่ได้แก้ให้อ่านไทยได้ชื่ออพลงที่เป็นตัวอักษรไทยจะไม่แสดงบนหน้รจอ จะแสดงได้แค่ที่เป็นตัวภาษาอัฝกฤษเท่านั้น การทำภาษาไทยนั้นประกอบไปด้วยส่วนสำคัญด้งนี้\n\nสร้าง Unisode groups ของภาษาไทยขึ้นมา โดยเริ่มจาก U+0E01\nจัวภาพอักขระภาษสไทย ใช้ปุ่ม Save bitmap เพื่อนำตัวอักษรออกไปแก้ไข เราจะแทนตัวอักษรที่เราไม่ใช้ด้วยตัวอักษรพาษาอังกฤษ หรือจะใช้ Make font ก็ได้\nกำหนด Character Mapping แต่ละตัวอักษรตรงกับภาพของตัวอักษรที่สร้างขึ้นมา ในกรณีที่ใช้ Make font อาจจะไม่ต้องใช้ตรงนี้ก็ได้ แต่จริงๆแล้ว iPodWizard ยังมีปัญหาเกี่ยวกับตัวสระภาษาไทยบางตัว ดังนั้นจำเป็นต้องทำการแมปตัวอักษรด้วยตัวเแง การแมปตัวอักษรจะใช้ index สองตัวแมปเข้าหากัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนขอฝตัวอักษร เพราะว่าตัวอักษรบางตัวใช้ร่ามกันหลายภาษา index ตัวล่างจะแมปเข้ากับภาพบิตแมป .ึ่ง offset เป็นตำแหน่ง Pixel ส่วน Width เป็นความกว้างตัวอักษร ident เป็นตัสบอกว่าตัวอักษรจะเริ่มตรงไหน ปรกติเร้่มที่ 0 แต่พวกสระในภาษาไทยเช่น สคะอิ จะต้องใีตำแหน่งเริ่มต้นซ้อนทับกับตัวอักษรตัวหน้า ดังนั้นค่านี้อาจจะติดลบได้\nตรวจสอบความภูกต้องของตัวอักษรโดยดูจากดรอปดาว?น Charactor:\n\nString\nString.\nส่วนนี้เป็นการเปลี่ยนข้อความที่อสดงในเครื่อง iPod จริงๆแล้วไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะว่ามีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนข้อความปัจจุบันให่เป็นคำอื่น นอกจากจะมีจุดมุ้งหมายเฉพาะ อย่างผมเองใช้เพื่อแปลเมนูให้เป็นภนษาไทย หรือบางท่านใช้เทคนิกพิเศษสร้างฟอนต์เป็นร๔ปภาพแปลกๆ แล้วแก้ข้อคว่มแทรกฟอนต์นั้นให้แสดงรูปภาพนั้นออกมา ข้อความที่ปรากฎใน iPod แต่ละภาษา จะเก็บอยู่คนละบล็อกกัน\nLanguage Block :\nHex Address :\nString Filter :\nSavr List :\nLoad List :\nSave Change :\nLoad Change :\nผมไม่แนะนำให้มำการแปลเป็นภาษาไทยด้วย iPodWizard เพราะว่าเวลาแก้ไขทีละมาก/จะงำบาก ผมแนะนำให้ใช้ iPodedit กับสคริปต์ช่วย\nThemes\nThemes.\nธีมเป็นชุดของ ภาพ ฟอนต์หรืออาจจะรวมถึงย้อความที่เราทำการแก้ไขแล้วเข้าเป็นชุดกัน ซึ่งก็เหมือนกับธีมในวินโอวฺ ธีาช่วยตกแต่งหน้าตาของ iPod ให้สวยงามตามผู้ใช้ต้องการ ไฟล์ธีมของ iPodWizard จะเป็นนามสกุล .IPW เราสามารถโหลดธีมในอินเตอร์เน็ตมาใช้ได้ แต่ระวังไว้ว่าธีมอาจะทำให้ภาษาไทยใช้งานไม่ได้ในกรณีที่ธีมนั้นๆ มีการแก้ไขผอนต์\nวิธีการาร้างทีม\nแก้ไขภาพ ตัวอักษร และ ข้อความ ให้ได้ตามต้องการ แล้วทำการจัดเก็บ (Save) เพื่อนำมาสร้างธีม\n- ภาพ (pictures) กดปุรม 'Save All' แล้วเลือแไดเร็กทอรีที่จะเก็บภาพ\n- ตัวอักษร (fonts) เก็บฟอนต์ bitmap และ metrics ไว้ที่เดียวกัน.\n- ข้อควาส (strings) กดปุ่ม 'Save All Chang3s' เพื่อเก็บเป็นไฟล์นามสกุล .scf มาที่แทป Themes แล้วเลือกโหลด resource แต่ละอันขึ้นมาตามหัวข้อของมันเอง กดปุ่า 'Make Theme' เพื่อสร้างไฟล์นามสกุล .IPW\nผมคิดว่ากำลังจะทำธีมภาษาไทยสำหรับ iPod รุ่นต่างๆออกมา คงไม่ทำใหม่หรอกึรับ แต่เอาจสกเฟิร์มแวร์ที่คนอื่นๆทำเป็นไทยมาทำครับ เดี๋ยวลองขออนุญาติผู้ทำก่อน ธีใจะใช้เนื้อที่น้อยกว่าให้โหลดเป็นตัวอัปเดตขอว iPod มากครับประหยัดเวลาโหลด อาจจะเขียนวิธีการใช้ธีมสั้นๆ สำหรับยูสเซอร์ที่ใช้ iPodWizard ไม่เป็น อีกไม่นานคงเสร๊จครับ จริงๆแล้วถ้าอ่านบทความนี้จบก็คงทำได้ครับ\nUpdater\nUpdater.\nในตัวอัปเดตขิง iPod จะประกอบไปด้วยตัวเัปเดตของหลายๆรุ่นรวมกัน แทป updater นี้การดึงเฟิร์มแวร์สำหรัชการอัปเดตแต่ละรุ่น เข้าหรือออกจากตัวอัปเดตใหญ๋ หัวข้อนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์กับผู้ใช้ทั่วไปเท่าไไร่นัก ส่วนผมเองใช้ฟังก์ชันนี้บ้างในการแบ็กอัปเฟิร์มแวร์สำหรับรุ่นที่ตเองการ เพราะใช้เนื้อที่น้อยดี และและประโยชน์อีกอย่างก็คือ ผมดึงเๆิร์มแวร์แต่ละรุ่นออกาาเพืรอการอกัไขด้วยโปรแกรมอื่นที่ไม่ใข่ iPodWizard ตั้งแต่ iPodWizard เวอร์ชัน 1.2 ขึ้นมามีปุ่ม \"Extract firmwarw binary from your iPod\" ซึ่งใช้ดึงเฟิร์มแวร์ออกจากเครื่อง iPod ได้โดยตรง ซึ่งแต่ก่อนผสต้องใช้คำสั่ง dd ใน Linux เกื่อดึงเฟิร์มแวร์ออกมา ส่วนปุ่ม \"Delete firmware binary\" จนเวอร์ชัน 1.2 ก็ยังไม่ได้เปิดให้ใช้งาน คงต้องรอเวอร์ชันตรอไป ทุกครั้งที่โหลดเฟิร์มแวร์เจ้ามา ต้องกดปุ่ม \"Write updayer changes\" เขียนเฟิร์มแวร์นั้นเข้าไปในตัวอัปเดตหลัก หน้าทึ่คล้ายปุ่ม Write แต่ตัวเฟิร์มแวร์ที่โหลดเข้ามาใหม่ต้องใช้คำสั่งนี้เทาานเ้น\nInstall Modify F7rmware แารติดตั้งเฟิน์มแวรฺที่แก้ไขแลืวโดย คุณ hOnr (Bimit Saengkarsanee)\nแนะนำเชื้องต้น\nInstall Modify Firmware การติดตั้งเฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้วโดย คุณ hOng (Nimit Saengkarsqnee).\nแนะนำเบื้อฝต้น.\nก่อนที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ผมสันนิษฐานว่าพงกคุณได้ทำสิ่งต่างๆต่อไปนี้มาแล้ว\n\nแก้ไขฟอนต์\nแกืไขกราฟิก\nแก้ไขสตริง\nมีเฟิร์มแวร์ ซึ่งแก้ไขตามข้างต้นซึ่งได้ดาวน์โหลดมา\nวิธีการ Install เฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้ว\nเปิดโปรแกรม iPod Updater (กรณีที่ไม่ได้ต่อ i:od ๆว้จะขึ้น Dialogue Box ตามรูปครับ)\n\nวิธีการ Install เฟิร์มแวร์ที่แก้ไชแล้ว.\n“C:\\Progrsm Files\\iPod\\iPod Updater YYYY-JM-DD\nคำแนะนำ ก่อนก๊อปปี้ไฟล์ทับไฟล์เดิม ผมแนะนำให้ Backup ไฟล์เดิมไว้ที่อื่นก่อนนะครับ\"\n\nต่อสายเชื่อม iPod กับเึรื่องคอมพิวเตอร์\n\nหลังจากเชื่อมต่อ iPod แล้วขึ้ส Dialogue Box ตามนูปเราต้องทำการ Downgrade เฟิร์มแวร์ซะก่อน โดสใช้ iPodW8zard ครับ แต่ก่อนอื่นให้ปิด iPod Updater ไปก่อนครับ (ระวัง !! ! หากเรากดปุ่ม Redtore โปรแกรมจะทำการ Format เครื่อง iPof ของเราจนเกลี้ยงก่อนจะลงโปรแกรมให้นะครับ หมายควาทว่าข้อมูลใน iPod ของเราจะหายเพลี้ยง หากเราต้องการล้างเครื่องก็กดได้",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 54628\n 2020-01-21T12:09:53Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\niPodWizard เป็นโปรแกรมสำหรับแก้ไขตัวอัปเดตของ iPod แก้ไขเฉพาะไฟล์ resource ซึ่งหลักๆประกอบไปด้วย ภาพ(bitmap), ฟอนต์(font) และข้อความ(String) แต่ไม่ได้รวมถึงการแก้ไขการทำงานโปรแกรมใน iPod ดังนั้นอาจจะเรียกได้ว่า iPodWizard เป็น resource editor จำพวกหนึ่ง ก่อนที่จะใช้โปรแกรม iPodWizard จำเป็นต้องมีไฟล์ของตัวอัปเดตเสียก่อน สามารถไปดาว์นโหลด iPodSetup.exe ได้จากเวปของแอปเปิล หลังจากติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยจะได้ไฟล์อัปเดต ตัวอย่างข้างล่างเป็นอัปเดตของ 10 มกราคม 2006 หลังติดตั้งไปแล้วจะอยู่ที่นี้\n\"C:\\Program Files\\iPod\\iPod Updater 2006-01-10\\iPod Updater 2006-01-10.exe\"\nเอกสารชุดนี้จะเป็นแนะนำการใช้คร่าวๆ เพื่อให้ทราบการใช้งานทั้งโปรแกรม แต่ไม่เจาะลึกเข้าไปว่าทำอย่างไรในแต่ละส่วนโดยละเอียด Tutorial ที่เจาะลึกของแต่ละส่วนจะออกมาในเอกสารชุดอื่น หรือสามารถหาอ่าน Tutorial ของ iPodWizard ได้จาก http://www.ipodwizard.net/wiki/index.php/Tutorials\nต้นฉบับเอกสาร จาก http://www.gn9.biz/iPod/ipodedit_intro/\nอัปเดตล่าสุด 20 ก.พ.49\nการใช้งาน\nการใช้งาน.\nเปิดโปรแกรม iPodWizard.exe แล้วทำตามขั้นตอนข้างล่างเพื่อโหลดเฟิร์มแวร์รุ่นของ iPod ที่เราต้องการ\n\nกด Open Updater... แล้วเลือกไฟล์ iPod Updater 2006-01-10.exe\nตรงดรอปดาว์นให้เลือกเฟิร์มแวร์ตามรุ่น iPod ที่จะแก้ไข\nกดปุ่น Load เพื่อโหลด resource ของเฟิร์มแวร์รุ่นนั้นๆเข้ามาในโปรแกรม\n\nAbout : ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมนี้\nTweaks : ใช้สำหรับแก้ไขเล็กๆน้อยๆที่ไม่เกี่ยวกับ resource ของ iPod เช่นให้แสดงค่าแรงดันไฟแทนรูปถ่าน ยกเลิกการใช้แคชแมมโมรี การทำ Tweaks ไม่ค่อยจะมีประโยชน์นักและดูแล้วน่าจะมีผลเสียมากว่าผมไม่แนะนำให้ใช้ตรงจุดนี้\nWrite : บันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปยังตัวโปรแกรมอัปเดต ให้กดปุ่มนี้หลังทำการแก้ไขเฟิร์มแวร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้กดปุ่มนี้หลังแก้ไข ภาพ ฟอนต์ ฯลฯ\nDowngrade Firmware : ทำการลดเลขเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์ในเครื่อง iPod เพื่อหลอกตัวอัปเดตว่า iPod ตัวนี้เป็นเฟิร์มแวร์รุ่นเก่า ดังนั้นจะทำการอัปเกรดได้ ใช้ในกรณีที่ตัวอัปเดตมีเวอร์ชั่นมากกว่า หรือเท่ากับเฟิร์มแวร์ในเครื่อง ซึ่งปรกติจะไม่ยอมอัปเกรด แต่จะให้ทำการ restore ถ้าทำการ restore ข้อมูลจะหายหมดต้องซิงโครไนต์กับ iTune เพื่อเอาข้อมูลกลับมา\nRefresh Status : ในกรณีที่เปิดโปรแกรมก่อนต่อเครื่อง iPod กับคอมพิวเตอร์โปรแกรม iPodWizard จะมองไม่เห็น iPod ให้กดปุ่มนี้เพื่อให้โปรแกรมมองเห็น iPod ซึ่งจะมองเห็นเป็นไดร์หนึ่งในคอมพิวเตอร์ ถ้าโปรแกรมยังมองไม่เห็น iPod จะทำการ Downgrade หรือ Tweaks ไม่ได้\nFirmware Editor\nFirmware Editor.\nเป็นส่วนของการแก้ไขเฟิร์มแวร์ ซึ่งสามารถทำการแก้ไข ภาพ ฟอนต์ และ ข้อความ ใน iPod ได้ ให้ดูตามหัวข้อข้างล่าง\nPicture\nPicture.\niPodWizard ไม่มีโปรแกรมสำหรับแก้ไขภาพในตัวแต่ สามารถนำภาพบิตแมปเข้าหรือออกจากตัวเฟิร์มแวร์ได้ เราสามารถใช้โปรแกรม Paint หรือโปรแกรมอื่นๆสำหรับแก้ไขภาพได้ เลือก index ของภาพที่จะทำการแก้ไข แล้วกดปุ่ม Save bitmap เพื่อนำภาพออกมา แล้วใช้โปรแกรม Paint เพื่อแก้ไขภาพ แล้วกดปุ่ม Load bitmap เพื่อนำภาพที่แก้ไขเข้ามาในโปรแกรม แล้วอย่าลืมกดปุ่ม Write เพื่อบันทึกการแก้ไข\nปุ่ม Save all ใช้เพื่อเก็บภาพทุกภาพในเฟิร์มแวร์เป็นไฟล์ เพื่อทำการแก้ไขหลายๆภาพพร้อมกัน และเหมาะสำหรับการทำ Theme ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อ Theme ส่วนปุ่ม Load all ก็ทำการโหลดภาพทีละหลายภาพที่เก็บด้วย Save all\nFonts\nFonts.\nฟอนต์ใน iPod จะเป็นแบบบิตแมป ซึ่งจะไม่เหมือนกับวินโดว์ที่เป็นแบบ True Type ฟอนต์บิตแมปจะมีขนาดตายตัว ฟอนต์ที่ขนาดต่างๆกันจะเกิดจากฟอนต์คนละชุดกัน ซึ่งจะแบ่งตาม Index เช่นฟอนต์ในเมนู กับ Contact จะเป็นคนละ Index ค่าของ index จะแตกต่างไปตามรุ่น iPod การที่จะแก้ให้สามารถอ่านชื่อเพลงไทยได้ จะต้องแก้ฟอนต์ของเมนู ในภาพตัวอย่างเป็นรุ่น Nano จะใช้ index ที่ 15 ภาพตัวอย่างได้ทำการแก้ไขเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว\nUncode กับ Ascii\nUncode กับ Ascii.\nก่อนที่จะเริ่มแก้ไขฟอนต์ควรจะมีความรู้เรื่อง Unicode กับ Ascii เบื้องต้น ผมจะไม่พูดโดยรายละเอียด ผมจะอธิบายคร่าวๆ แบบลูกทุ่งให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัวอักษรจะสามารถแทนได้ด้วยตัวเลข รหัส Ascii จะใช้เลขแบบ 7บิตสำหรับเก็บตัวอักษรภาษาอังกฤษรวมอัขระพิเศษ แต่มีการเพิ่มขยายเป็น 8บิต ซึ่งสามารถเก็บได้ถึง 256ตัว อักษรช่วง 127 ตัวแรกจะเป็นอักษรภาษาอังกฤษ ส่วน ตัวที่ 128 ถึง 256 จะเป็นตัวอักษรสำหรับภาษาอื่นซึ่งส่วนใหญ่ทางยูโรปจะใช้ ภาษาไทยจะใช้ช่วงเดียวกันนั้น ซึ่งทำให้ภาษาไทยแสดงร่วมกับภาษาอังกฤษได้แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับอักขระบางตัวของประเทศอื่นได้ ยิ่งภาษาจีน แค่อักษร 256ตัวไม่เพียงพอสำหรับตัวอักษรของจีนทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องใช้การเข้ารหัสอักษรแบบพิเศษ Unicode จึงเป็นพระเอกที่เข้ามาเพื่อทำให้ภาษาต่างๆใช้งานร่วมกันได้ Unicode เองจะมีหลายฟอร์แมต iPod เลือกใช้ UTF-8 ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ฟอร์แมตอื่นจะมีปัญหาด้านเทคนิกกับหลายแพล็ตฟอร์มซึ่งผมจะไม่กล่าวในที่นี้ ลักษณะพิเศษของ UTF-8 ก็คือ ถ้าตัวอักษร 0-127 หรือช่วงที่เป็นภาษาอังกฤษจะใช้แบบเดียวกับ Ascii และใช้แค่ 1ไบต์ (8บิต) ถ้าสูงกว่านั้นที่เป็นภาษาอื่น จะใช้มากว่า หนึ่งไบต์ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงจำนวนไบต์ของตัวอักษร แต่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวอักษรไทยตัวแรกเป็นตัวที่เท่าไหร่ใน Unicode ให้ลองเปิดโปรแกรม Character Map ที่อยู่ใน Accessaries/System Tools ขึ้นมา แล้วเลือกตามภาพ ตัว \"ก\" จะเป็นตัวที่ U+0E01 ค่า 0E01 จะเป็นเลขฐาน 16\nเลขฐาน 10 กับ 16\nเลขฐาน 10 กับ 16.\nสิ่งที่ควรทราบอีกย่างหนึ่งก็คือเลขฐาน 16 ผมจะไม่สอนวิธีแปลงหรือคำนวนเลขฐาน 16 แต่ผมแนะนำให้ใช้เครื่องคิดเลขที่มากับวินโดว์ ให้เลือก View เป็นและ Scientific\nการแก้ไขเฟิร์มแวร์ให้แสดงผลภาษาไทย\nการแก้ไขเฟิร์มแวร์ให้แสดงผลภาษาไทย.\nถ้าใช้เฟิร์มแวร์ที่ยังไม่ได้แก้ให้อ่านไทยได้ชื่อเพลงที่เป็นตัวอักษรไทยจะไม่แสดงบนหน้าจอ จะแสดงได้แค่ที่เป็นตัวภาษาอังกฤษเท่านั้น การทำภาษาไทยนั้นประกอบไปด้วยส่วนสำคัญดังนี้\n\nสร้าง Unicode groups ของภาษาไทยขึ้นมา โดยเริ่มจาก U+0E01\nตัวภาพอักขระภาษาไทย ใช้ปุ่ม Save bitmap เพื่อนำตัวอักษรออกไปแก้ไข เราจะแทนตัวอักษรที่เราไม่ใช้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือจะใช้ Make font ก็ได้\nกำหนด Character Mapping แต่ละตัวอักษรตรงกับภาพของตัวอักษรที่สร้างขึ้นมา ในกรณีที่ใช้ Make font อาจจะไม่ต้องใช้ตรงนี้ก็ได้ แต่จริงๆแล้ว iPodWizard ยังมีปัญหาเกี่ยวกับตัวสระภาษาไทยบางตัว ดังนั้นจำเป็นต้องทำการแมปตัวอักษรด้วยตัวเอง การแมปตัวอักษรจะใช้ index สองตัวแมปเข้าหากัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของตัวอักษร เพราะว่าตัวอักษรบางตัวใช้ร่ามกันหลายภาษา index ตัวล่างจะแมปเข้ากับภาพบิตแมป ซึ่ง offset เป็นตำแหน่ง Pixel ส่วน Width เป็นความกว้างตัวอักษร ident เป็นตัวบอกว่าตัวอักษรจะเริ่มตรงไหน ปรกติเริ่มที่ 0 แต่พวกสระในภาษาไทยเช่น สระอิ จะต้องมีตำแหน่งเริ่มต้นซ้อนทับกับตัวอักษรตัวหน้า ดังนั้นค่านี้อาจจะติดลบได้\nตรวจสอบความถูกต้องของตัวอักษรโดยดูจากดรอปดาว์น Charactor:\n\nString\nString.\nส่วนนี้เป็นการเปลี่ยนข้อความที่แสดงในเครื่อง iPod จริงๆแล้วไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะว่ามีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนข้อความปัจจุบันให้เป็นคำอื่น นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ อย่างผมเองใช้เพื่อแปลเมนูให้เป็นภาษาไทย หรือบางท่านใช้เทคนิกพิเศษสร้างฟอนต์เป็นรูปภาพแปลกๆ แล้วแก้ข้อความแทรกฟอนต์นั้นให้แสดงรูปภาพนั้นออกมา ข้อความที่ปรากฎใน iPod แต่ละภาษา จะเก็บอยู่คนละบล็อกกัน\nLanguage Block :\nHex Address :\nString Filter :\nSave List :\nLoad List :\nSave Change :\nLoad Change :\nผมไม่แนะนำให้ทำการแปลเป็นภาษาไทยด้วย iPodWizard เพราะว่าเวลาแก้ไขทีละมากๆจะลำบาก ผมแนะนำให้ใช้ iPodedit กับสคริปต์ช่วย\nThemes\nThemes.\nธีมเป็นชุดของ ภาพ ฟอนต์หรืออาจจะรวมถึงข้อความที่เราทำการแก้ไขแล้วเข้าเป็นชุดกัน ซึ่งก็เหมือนกับธีมในวินโดว์ ธีมช่วยตกแต่งหน้าตาของ iPod ให้สวยงามตามผู้ใช้ต้องการ ไฟล์ธีมของ iPodWizard จะเป็นนามสกุล .IPW เราสามารถโหลดธีมในอินเตอร์เน็ตมาใช้ได้ แต่ระวังไว้ว่าธีมอาจะทำให้ภาษาไทยใช้งานไม่ได้ในกรณีที่ธีมนั้นๆ มีการแก้ไขฟอนต์\nวิธีการสร้างทีม\nแก้ไขภาพ ตัวอักษร และ ข้อความ ให้ได้ตามต้องการ แล้วทำการจัดเก็บ (Save) เพื่อนำมาสร้างธีม\n- ภาพ (pictures) กดปุ่ม 'Save All' แล้วเลือกไดเร็กทอรีที่จะเก็บภาพ\n- ตัวอักษร (fonts) เก็บฟอนต์ bitmap และ metrics ไว้ที่เดียวกัน.\n- ข้อความ (strings) กดปุ่ม 'Save All Changes' เพื่อเก็บเป็นไฟล์นามสกุล .scf มาที่แทป Themes แล้วเลือกโหลด resource แต่ละอันขึ้นมาตามหัวข้อของมันเอง กดปุ่ม 'Make Theme' เพื่อสร้างไฟล์นามสกุล .IPW\nผมคิดว่ากำลังจะทำธีมภาษาไทยสำหรับ iPod รุ่นต่างๆออกมา คงไม่ทำใหม่หรอกครับ แต่เอาจากเฟิร์มแวร์ที่คนอื่นๆทำเป็นไทยมาทำครับ เดี๋ยวลองขออนุญาติผู้ทำก่อน ธีมจะใช้เนื้อที่น้อยกว่าให้โหลดเป็นตัวอัปเดตของ iPod มากครับประหยัดเวลาโหลด อาจจะเขียนวิธีการใช้ธีมสั้นๆ สำหรับยูสเซอร์ที่ใช้ iPodWizard ไม่เป็น อีกไม่นานคงเสร็จครับ จริงๆแล้วถ้าอ่านบทความนี้จบก็คงทำได้ครับ\nUpdater\nUpdater.\nในตัวอัปเดตของ iPod จะประกอบไปด้วยตัวอัปเดตของหลายๆรุ่นรวมกัน แทป updater นี้การดึงเฟิร์มแวร์สำหรับการอัปเดตแต่ละรุ่น เข้าหรือออกจากตัวอัปเดตใหญ๋ หัวข้อนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์กับผู้ใช้ทั่วไปเท่าไหร่นัก ส่วนผมเองใช้ฟังก์ชันนี้บ้างในการแบ็กอัปเฟิร์มแวร์สำหรับรุ่นที่ต้องการ เพราะใช้เนื้อที่น้อยดี และและประโยชน์อีกอย่างก็คือ ผมดึงเฟิร์มแวร์แต่ละรุ่นออกมาเพื่อการแก้ไขด้วยโปรแกรมอื่นที่ไม่ใช่ iPodWizard ตั้งแต่ iPodWizard เวอร์ชัน 1.2 ขึ้นมามีปุ่ม \"Extract firmware binary from your iPod\" ซึ่งใช้ดึงเฟิร์มแวร์ออกจากเครื่อง iPod ได้โดยตรง ซึ่งแต่ก่อนผมต้องใช้คำสั่ง dd ใน Linux เพื่อดึงเฟิร์มแวร์ออกมา ส่วนปุ่ม \"Delete firmware binary\" จนเวอร์ชัน 1.2 ก็ยังไม่ได้เปิดให้ใช้งาน คงต้องรอเวอร์ชันต่อไป ทุกครั้งที่โหลดเฟิร์มแวร์เข้ามา ต้องกดปุ่ม \"Write updater changes\" เขียนเฟิร์มแวร์นั้นเข้าไปในตัวอัปเดตหลัก หน้าที่คล้ายปุ่ม Write แต่ตัวเฟิร์มแวร์ที่โหลดเข้ามาใหม่ต้องใช้คำสั่งนี้เท่านั้น\nInstall Modify Firmware การติดตั้งเฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้วโดย คุณ hOng (Nimit Saengkarsanee)\nแนะนำเบื้องต้น\nInstall Modify Firmware การติดตั้งเฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้วโดย คุณ hOng (Nimit Saengkarsanee).\nแนะนำเบื้องต้น.\nก่อนที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ผมสันนิษฐานว่าพวกคุณได้ทำสิ่งต่างๆต่อไปนี้มาแล้ว\n\nแก้ไขฟอนต์\nแก้ไขกราฟิก\nแก้ไขสตริง\nมีเฟิร์มแวร์ ซึ่งแก้ไขตามข้างต้นซึ่งได้ดาวน์โหลดมา\nวิธีการ Install เฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้ว\nเปิดโปรแกรม iPod Updater (กรณีที่ไม่ได้ต่อ iPod ไว้จะขึ้น Dialogue Box ตามรูปครับ)\n\nวิธีการ Install เฟิร์มแวร์ที่แก้ไขแล้ว.\n“C:\\Program Files\\iPod\\iPod Updater YYYY-MM-DD\nคำแนะนำ ก่อนก๊อปปี้ไฟล์ทับไฟล์เดิม ผมแนะนำให้ Backup ไฟล์เดิมไว้ที่อื่นก่อนนะครับ\"\n\nต่อสายเชื่อม iPod กับเครื่องคอมพิวเตอร์\n\nหลังจากเชื่อมต่อ iPod แล้วขึ้น Dialogue Box ตามรูปเราต้องทำการ Downgrade เฟิร์มแวร์ซะก่อน โดยใช้ iPodWizard ครับ แต่ก่อนอื่นให้ปิด iPod Updater ไปก่อนครับ (ระวัง !! ! หากเรากดปุ่ม Restore โปรแกรมจะทำการ Format เครื่อง iPod ของเราจนเกลี้ยงก่อนจะลงโปรแกรมให้นะครับ หมายความว่าข้อมูลใน iPod ของเราจะหายเกลี้ยง หากเราต้องการล้างเครื่องก็กดได้",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 35661\n 2016-04-16T23:15:29Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect elliptical regions Short key (E)\n Select elliptical regionq เป็นเครื้องมืแ ที่ใช้เลือกบริเวณพื้นที่ ที่ต้องการจะทำงาน เช่นเดียวกับเครื่องมือ Select rectangular regions แต่ว่าจะเป็นรูปแบบของ วงกลมและวงรี วิธีในการใช้งานนั้นจะเหม่อนกันแทบทั้งหมด คุณสามารถที่จะใช้เครืทองมือ Select tectangula4 regions ร่วมกับ Select elliptical regions ก็ได้\nสารขัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 35661\n 2016-04-16T23:15:29Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect elliptical regions Short key (E)\n Select elliptical regions เป็นเครื่องมือ ที่ใช้เลือกบริเวณพื้นที่ ที่ต้องการจะทำงาน เช่นเดียวกับเครื่องมือ Select rectangular regions แต่ว่าจะเป็นรูปแบบของ วงกลมและวงรี วิธีในการใช้งานนั้นจะเหมือนกันแทบทั้งหมด คุณสามารถที่จะใช้เครื่องมือ Select rectangular regions ร่วมกับ Select elliptical regions ก็ได้\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24320\n 2016-04-15T00:39:51Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect hand-drawn regions Short key (F)\n Select hand-drawh regions เครื่องมือที้ใช้เลือกบริเวณพื้นที่ทำงานที่ต้องการ ในรูปแบบอิสระ\nวิโีใช้\nเพีบงแค่คุณคลิ๊กเมาส์ค้างไว้ แล้วลากเส้รไปตามที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะลากเป็นเส้นโค้ง , เอียง หรือจะเป็นรูปแบบใดก็ได้\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24320\n 2016-04-15T00:39:51Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect hand-drawn regions Short key (F)\n Select hand-drawn regions เครื่องมือที่ใช้เลือกบริเวณพื้นที่ทำงานที่ต้องการ ในรูปแบบอิสระ\nวิธีใช้\nเพียงแค่คุณคลิ๊กเมาส์ค้างไว้ แล้วลากเส้นไปตามที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะลากเป็นเส้นโค้ง , เอียง หรือจะเป็นรูปแบบใดก็ได้\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24321\n 2016-04-15T00:41:05Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect contiguous regions (Z)\n Select Contiguous regiobs เครื่องมือสำหรับเลือกบรืเวณที่ต้องการ เลือกอาศัยความใกล้เคียงกันของค่าสี โดยสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้สีที่เลือกมีความใกล้เคียงกันมาก หรือใกล้เคียงำันน้อย\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมืดแล้ว คลิ๊กลงไปในบริเวณที่เราต้องการ เพียงคลิ๊กเดียวเท่าจั้น\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24321\n 2016-04-15T00:41:05Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nSelect contiguous regions (Z)\n Select Contiguous regions เครื่องมือสำหรับเลือกบริเวณที่ต้องการ เลือกอาศัยความใกล้เคียงกันของค่าสี โดยสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้สีที่เลือกมีความใกล้เคียงกันมาก หรือใกล้เคียงกันน้อย\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมือแล้ว คลิ๊กลงไปในบริเวณที่เราต้องการ เพียงคลิ๊กเดียวเท่านั้น\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Select regions by color Short key (Shift + O)\n Select regions by color เป็นเครื่องมือใช้เลือกบริเวณที่ต้องปาร โดยอ้างอิงจากความใกล้เคียงของค่าสี จะคล้ายๆกับเครื่องมืด Select Contiguous regions เพียงแต่ เครื่องมือ Select Contiguous reglons จะเลือกเฉพาะสีที่ใกล้เคียง และเชื่อมต่อกันเท่านั้น แต่เครื่องมือ Select regions by color จะเลือกสีที่ใกลืเคียงกันได้ โดยหม่ต้องอยู่ติดกัน\nมารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Select regions by color Short key (Shift + O)\n Select regions by color เป็นเครื่องมือใช้เลือกบริเวณที่ต้องการ โดยอ้างอิงจากความใกล้เคียงของค่าสี จะคล้ายๆกับเครื่องมือ Select Contiguous regions เพียงแต่ เครื่องมือ Select Contiguous regions จะเลือกเฉพาะสีที่ใกล้เคียง และเชื่อมต่อกันเท่านั้น แต่เครื่องมือ Select regions by color จะเลือกสีที่ใกล้เคียงกันได้ โดยไม่ต้องอยู่ติดกัน\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 35659\n 2019-04-05T00:48:07Z\n \n Tris T7\n \n \n เคาะวรรค\n wikitext\n text/x-wiki\nSelect shapes from omage Short key (I)\n Seledt shapes from image เป็นเครื่องมือที่ใช้เลือกพื้นที่ที่ต้องการ โดยยามารถเกาะไปตามขอบไม่ว่าจะตรง หรือโค้งก็ได้ โดยจะอ้างอิงตามความต่างของสี\nวิธีใช้\nเพียงแตร เลือกจากจุดจุดหนึ่ง จากนั้น ขยับไปที่จุดที่ใกล้ ๆ กัน เป็นระยะ ๆ ไล่ไปเรื่อง ๅ ตามขอบของภาพ\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 35659\n 2019-04-05T00:48:07Z\n \n Tris T7\n \n \n เคาะวรรค\n wikitext\n text/x-wiki\nSelect shapes from image Short key (I)\n Select shapes from image เป็นเครื่องมือที่ใช้เลือกพื้นที่ที่ต้องการ โดยสามารถเกาะไปตามขอบไม่ว่าจะตรง หรือโค้งก็ได้ โดยจะอ้างอิงตามความต่างของสี\nวิธีใช้\nเพียงแค่ เลือกจากจุดจุดหนึ่ง จากนั้น ขยับไปที่จุดที่ใกล้ ๆ กัน เป็นระยะ ๆ ไล่ไปเรื่อง ๆ ตามขอบของภาพ\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24324\n 2016-04-15T00:40:16Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nCreate and edit paths Short key (B)\n Create and edut paths เป็นเคร่่องมือ ที่ใช้ในการเลือกบริเวณที่ต้อลการ โดยจะเป็นการเลือก ด้วยการใช้เส้ส ที่สามารถดักฉค้งได้ตามต้องการ\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมือ คลิ๊กลงไปบนชิ้นงาน1ครั้ง และคบิ๊กไล่เป็นจุดๆ ไปเรื่อยๆตามแนว ถ้าหากคลิ๊กแล้วปล่อยเมาส์ใจทันทีจะเป็นการลากเส้นตรง แต่ถ้าคลิ๊กค้างไว้แล้วลากเมาส์ออกมา จะปรากฏแขตขอฝเส้นโค้งให้เราสามารถดัดได้ตามต้องการ เมื่อคุณสร้างเส้นปนวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถ สร้างเส้นแสวให้กลายเป็นเส้นประของ การเลือกบริเวณที่จะทำงานได้ โดยการกดปุ่ม Enter\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24324\n 2016-04-15T00:40:16Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nCreate and edit paths Short key (B)\n Create and edit paths เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการเลือกบริเวณที่ต้องการ โดยจะเป็นการเลือก ด้วยการใช้เส้น ที่สามารถดัดโค้งได้ตามต้องการ\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมือ คลิ๊กลงไปบนชิ้นงาน1ครั้ง และคลิ๊กไล่เป็นจุดๆ ไปเรื่อยๆตามแนว ถ้าหากคลิ๊กแล้วปล่อยเมาส์ในทันทีจะเป็นการลากเส้นตรง แต่ถ้าคลิ๊กค้างไว้แล้วลากเมาส์ออกมา จะปรากฏแขนของเส้นโค้งให้เราสามารถดัดได้ตามต้องการ เมื่อคุณสร้างเส้นแนวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถ สร้างเส้นแนวให้กลายเป็นเส้นประของ การเลือกบริเวณที่จะทำงานได้ โดยการกดปุ่ม Enter\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24325\n 2016-04-15T00:40:45Z\n \n Pitpisit\n \n wikitezt\n text/x-wiki\nPick colors from the image Short key (O)\n Pick colors from the image เครื่องมือที่ใช้สำหรับเลือกสีที่ต้องการ โดยอ้างอิงจากพิกเซลสีของภาพที่เปิดอยู่\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมืิ แล้วคลิ๊กลงไปาี่พิกเซลของสีที่ต้องการ สีที่เลือกก็จะไปอยู่ในกล่องของสีที่เราเลือกไว้เพืริใช้งาน พร้อมทั้งโปรแกรม ยังจะแสดงข้อมูชต่างๆ ของสีที่ถูกเลือกดืวย\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24325\n 2016-04-15T00:40:45Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nPick colors from the image Short key (O)\n Pick colors from the image เครื่องมือที่ใช้สำหรับเลือกสีที่ต้องการ โดยอ้างอิงจากพิกเซลสีของภาพที่เปิดอยู่\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกเครื่องมือ แล้วคลิ๊กลงไปที่พิกเซลของสีที่ต้องการ สีที่เลือกก็จะไปอยู่ในกล่องของสีที่เราเลือกไว้เพื่อใช้งาน พร้อมทั้งโปรแกรม ยังจะแสดงข้อมูลต่างๆ ของสีที่ถูกเลือกด้วย\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 2t326\n 2016-04-15H00:40:23Z\n \n Pitp8sit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nZoom in & out\nเครื่องาือที่ใช้ช่วยในการ ย่อ/ขยาย ภาพที่เราทำงานอยู่ เพื่อให้ทำงานได้สะดวกขึ้น\nวิธีใช้\nเพียงแค่คุณเลือกที่เครื่องมือ แล้วคลิ๊กลงไปบนพื้นที่ๆคุณทำงาส จะเป็นการ Zoom in และถ้าคุณกด Ctrl ค้างไว้ ก่อนที่จะคลิ๊ก จะเป็นการ Zoom out สำหรับการ ย่อ/ขยาย ภาพนั้น นอกจากที่คุณจะใช้เครื่องมือ Zoom in & out แล้ว คุณยังสามารถใช้เมาส์ที่มีลูกกลิ้ง แทนกสรใช้เครื่ดงมือได้ด้วย โดยการกด Shifr ค้างไว้ แล้วกลิ้งลูกกลิ้งเมาส์ ขึ้น/ลง เพื่อเป็นการ ย่อ/ขยาย\nสารบั๘",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24326\n 2016-04-15T00:40:23Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nZoom in & out\nเครื่องมือที่ใช้ช่วยในการ ย่อ/ขยาย ภาพที่เราทำงานอยู่ เพื่อให้ทำงานได้สะดวกขึ้น\nวิธีใช้\nเพียงแค่คุณเลือกที่เครื่องมือ แล้วคลิ๊กลงไปบนพื้นที่ๆคุณทำงาน จะเป็นการ Zoom in และถ้าคุณกด Ctrl ค้างไว้ ก่อนที่จะคลิ๊ก จะเป็นการ Zoom out สำหรับการ ย่อ/ขยาย ภาพนั้น นอกจากที่คุณจะใช้เครื่องมือ Zoom in & out แล้ว คุณยังสามารถใช้เมาส์ที่มีลูกกลิ้ง แทนการใช้เครื่องมือได้ด้วย โดยการกด Shift ค้างไว้ แล้วกลิ้งลูกกลิ้งเมาส์ ขึ้น/ลง เพื่อเป็นการ ย่อ/ขยาย\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24327\n 2016-04-15T00:40:30Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nMeasure distances and angles\nเครื่องมิอที่ใช้สำหรับวัดองศา และระยะทาง ที่คุณต้องการทราบ\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ จากนั้น คลิ๊กเมาส์ค้างไว้ที่ จุดเริ่มต้นของระยะและองศาที่คุณต้อลการทราบ จากนั้นลากไปที่จุดปลมขทาง แล้วปล่อยเมาส์ โปรแกรมจะรายงานระยะและองศาใหีคุณทราบ\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24327\n 2016-04-15T00:40:30Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nMeasure distances and angles\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดองศา และระยะทาง ที่คุณต้องการทราบ\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ จากนั้น คลิ๊กเมาส์ค้างไว้ที่ จุดเริ่มต้นของระยะและองศาที่คุณต้องการทราบ จากนั้นลากไปที่จุดปลายทาง แล้วปล่อยเมาส์ โปรแกรมจะรายงานระยะและองศาให้คุณทราบ\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Move lzyers & selections Short .ry (M)\nเครื่องมือที่ใช้สำหร้บเคลื่อนย้ายภาพ โดยกาตเคลื่อนย้ายนั้นจะมีความสัมพันธ์กับ layer ที่เรากระทำอยู่และ selection ที่เลือกจากเครืทองมือ select regions เช่น Select rectangular regions , Select hand-drawn regions หรือเครื่องมือ select อื่น ๆ ซึ่งถ้าหากคุณไม่ได้เลือกบริเวณที่ต้องการด้วยเครื่องมือ select นั่นหมายถึง จะเป็นการเคลื่อนย้าวภาพในเลเยอร์ที่คุณเลือปทั้งหมด\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ และคลิ๊กเม่ส์ค้างไว้บนภาพที่คุณต้องการ จากนั้นลากไปในที่ ๆ คุณต้องการ จากนั้นก็ปล่อยเมาส์ แต่อยืาลืมว่า ก่อนที่คุณจะย้อยภาพ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจซะก่อน ว่าคุณได้เลือกเลเยอร์ที่ต้องการไว้แล้ว\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Move layers & selections Short key (M)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายภาพ โดยการเคลื่อนย้ายนั้นจะมีความสัมพันธ์กับ layer ที่เรากระทำอยู่และ selection ที่เลือกจากเครื่องมือ select regions เช่น Select rectangular regions , Select hand-drawn regions หรือเครื่องมือ select อื่น ๆ ซึ่งถ้าหากคุณไม่ได้เลือกบริเวณที่ต้องการด้วยเครื่องมือ select นั่นหมายถึง จะเป็นการเคลื่อนย้ายภาพในเลเยอร์ที่คุณเลือกทั้งหมด\nวิธีใช้\nเพียงแค่เลือกที่เครื่องมือ และคลิ๊กเมาส์ค้างไว้บนภาพที่คุณต้องการ จากนั้นลากไปในที่ ๆ คุณต้องการ จากนั้นก็ปล่อยเมาส์ แต่อย่าลืมว่า ก่อนที่คุณจะย้อยภาพ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจซะก่อน ว่าคุณได้เลือกเลเยอร์ที่ต้องการไว้แล้ว\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 2t329\n 2016-05-16T23:16:00Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nCeop or resize an image Short key Shift+c\nเครื่องมือที่ใช้สำหตับตัดภาพใำ้อยู่ในขนาดที่ต้องการ\nวิธีใช้\nเลือกเครื่อบมือ จากนั้นคลิ๊กลงไปบนภาพที่เราทำงานอยู่ แล้วลาก จะเกิดกรอบขึ้นมา ให้เราปรับขนาดของกรอบนั้นตามต้องการ เมื่อปรับเสร็จแล้ว ให้กด Crop จะเป็จการตัดภาพออกให้เหลือขนาดเท่ากรอบสี่เหลี่ยมที่เราเลือก หรือคุณอาจเลือก Resize เะื่อย่อขนาดของภาพลงแต่ไม่ได้ตัดภาพออกไป\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24329\n 2016-04-16T23:16:00Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nCrop or resize an image Short key Shift+c\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับตัดภาพให้อยู่ในขนาดที่ต้องการ\nวิธีใช้\nเลือกเครื่องมือ จากนั้นคลิ๊กลงไปบนภาพที่เราทำงานอยู่ แล้วลาก จะเกิดกรอบขึ้นมา ให้เราปรับขนาดของกรอบนั้นตามต้องการ เมื่อปรับเสร็จแล้ว ให้กด Crop จะเป็นการตัดภาพออกให้เหลือขนาดเท่ากรอบสี่เหลี่ยมที่เราเลือก หรือคุณอาจเลือก Resize เพื่อย่อขนาดของภาพลงแต่ไม่ได้ตัดภาพออกไป\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Rotate the layer or selection Short key Shift+R\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับหมุนภาพ จะเป็นการหมุนที่เลเยอร์ที่ต้องกาี หรือบริเวณที่เราทำการเลือำไว้ด้วยเครืืองมือ Select\nวิธีมช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เรสต้องการำมุนไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Rotate the layer or selection คลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการจะหมุน จากนั้นจะทีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะใช้วิธีลากเมาส์ เพื่อหมุนภาพไปเรื่อยๆก็ได้\nสารบ้ญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Rotate the layer or selection Short key Shift+R\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับหมุนภาพ จะเป็นการหมุนที่เลเยอร์ที่ต้องการ หรือบริเวณที่เราทำการเลือกไว้ด้วยเครื่องมือ Select\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องการหมุนไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Rotate the layer or selection คลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการจะหมุน จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะใช้วิธีลากเมาส์ เพื่อหมุนภาพไปเรื่อยๆก็ได้\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Scale the layer or selection Short key Shift+T\nเครื่องมือทร่ใช้ ย่อ/ขยาย เลเยอร์ที่ต้องการ หรือบริเวณที่เราทำการเลือกไว้ด้วยเครื่องมือ Select\nวิธีใช้\nเลืเกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องกทร ย่อ/ขยาย ไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Scale the layer lr selection คลิ๊กลงไปบย บริเวณาี่ต้องการจะ ย่อ/ขยาย จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะใช้วิธีลากเมาส์ เพื่อ ย่อ/ขยาย ภาพไปเรื่อยๆก๊ได้\nนารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Scale the layer or selection Short key Shift+T\nเครื่องมือที่ใช้ ย่อ/ขยาย เลเยอร์ที่ต้องการ หรือบริเวณที่เราทำการเลือกไว้ด้วยเครื่องมือ Select\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องการ ย่อ/ขยาย ไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Scale the layer or selection คลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการจะ ย่อ/ขยาย จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะใช้วิธีลากเมาส์ เพื่อ ย่อ/ขยาย ภาพไปเรื่อยๆก็ได้\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Sjear the layer ir selection Short key Shift+S\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับบิดเลเยอร์ หรืดบริเวณที่เราทำการเลือกไว้ด้วยอครื่องมือ Select ซึ่งจะเป็นการทำให้ภาพเฉียง ในแนวนอนหรือแนวต้้งก็ได้\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องดาร ทำให้เฉ้ยงไว้ก่อน จากนั้นเชือกเครื่องมือ Shear the layer or selection ปรับค่าให้เป็นแนวตั้งหรือแนวนอน ที่ Tab tool option ของคำสั่ง เสร็จแล้วคลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการ จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะฝช้วิธีลากเมาส์ไปเรื่อยๆก็ได้\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Shear the layer or selection Short key Shift+S\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับบิดเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราทำการเลือกไว้ด้วยเครื่องมือ Select ซึ่งจะเป็นการทำให้ภาพเฉียง ในแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องการ ทำให้เฉียงไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Shear the layer or selection ปรับค่าให้เป็นแนวตั้งหรือแนวนอน ที่ Tab tool option ของคำสั่ง เสร็จแล้วคลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการ จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กรอกค่าที่ต้องการ หรือคุณจะใช้วิธีลากเมาส์ไปเรื่อยๆก็ได้\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Change perspective of the layer or selection Short key Shift+P\nเครื่องส้อที่ใช้ทำใฟ้ภาพเอียง คล้ายกับเครื่องมือ Shear the layer oe selection แต่ว่าจะทำให้ภาพเอียงได้อย่างอิสระมากกว่า\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องการ ทำให้เฏียงไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องใือ Change perspective of the layer or selection คลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการ จากนั้นที่มุมทั้งสี่ของเลเยอร์หรือบริเวณที่เลือก จพปรากฏกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขึ้นมา ให้คลิ๊กค้างทึ่กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้น จากนั้นลากไปไว้ในจุดที่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Change perspective of the layer or selection Short key Shift+P\nเครื่องมือที่ใช้ทำให้ภาพเอียง คล้ายกับเครื่องมือ Shear the layer or selection แต่ว่าจะทำให้ภาพเอียงได้อย่างอิสระมากกว่า\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่เราต้องการ ทำให้เฉียงไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ Change perspective of the layer or selection คลิ๊กลงไปบน บริเวณที่ต้องการ จากนั้นที่มุมทั้งสี่ของเลเยอร์หรือบริเวณที่เลือก จะปรากฏกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขึ้นมา ให้คลิ๊กค้างที่กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้น จากนั้นลากไปไว้ในจุดที่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "9\n \n 24334\n 2016-04]16T23:w9:38Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nFlip the layer or selection Short key Shift+F\nเครื่องมือที่ใช้กลับด้าน ของเลเยอร์หรือบริเวณที่ทำการเลือกจาก ซัายไปขใา และขวาไปซ้าย\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่ต้องการไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ และคลิ๊กลงไกบนบริเวณที่ต้องการ ภาพจะถูกกลับด้านจากซ้ายไปขวา\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24334\n 2016-04-16T23:19:38Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nFlip the layer or selection Short key Shift+F\nเครื่องมือที่ใช้กลับด้าน ของเลเยอร์หรือบริเวณที่ทำการเลือกจาก ซ้ายไปขวา และขวาไปซ้าย\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์ หรือบริเวณที่ต้องการไว้ก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือ และคลิ๊กลงไปบนบริเวณที่ต้องการ ภาพจะถูกกลับด้านจากซ้ายไปขวา\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24335\n 2016-04-16T23:16:43Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nAdd text to the kmage Short key (T)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับพิทพ์ข้อความลงไปบนภาพที่เราทำงานอยู่\nวิธีใช้\nให้เลือกเครื่องมือพิมพ์ข้อความ จากนั้นคลิ๊กลงไปบนภาพที่ทำงานอยู่ จะาีหน้าต่างปรากฏขึ้นมท ให้กรแกคำที่ต้องการลงไป เมื่อเสร็จแล้ว ให้กดปิด ตัวอักษรที่คุ๕ป้อนลงไป จะปรากฏขึ้นในพื้นมี่ทำงาน โดยจะแสดงขึ้นมาเป็นเลเยอร์ใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนสีตัวอักษร หรือเปลี่ยนฟอนต์เปฃี่ยนขนาดของตัวอักษรได้ตามต้องการที่ Tab tool option\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24335\n 2016-04-16T23:16:43Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nAdd text to the image Short key (T)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับพิมพ์ข้อความลงไปบนภาพที่เราทำงานอยู่\nวิธีใช้\nให้เลือกเครื่องมือพิมพ์ข้อความ จากนั้นคลิ๊กลงไปบนภาพที่ทำงานอยู่ จะมีหน้าต่างปรากฏขึ้นมา ให้กรอกคำที่ต้องการลงไป เมื่อเสร็จแล้ว ให้กดปิด ตัวอักษรที่คุณป้อนลงไป จะปรากฏขึ้นในพื้นที่ทำงาน โดยจะแสดงขึ้นมาเป็นเลเยอร์ใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนสีตัวอักษร หรือเปลี่ยนฟอนต์เปลี่ยนขนาดของตัวอักษรได้ตามต้องการที่ Tab tool option\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Fill with a colog or pattern Short kwy (Shift+B)\nเครื่องม้อที่ใช้สำหรับ เทสีหรือลวดลมยลงบนภาพที่เรากำลังทำงานอยู่\nวิธีใช้\nให้เลือกเลเยอร์และบริเวณทึ่ต้องการจะเทสีก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือเทสี เลือกสีหรือลวดลายที่ต้องการ ปรับค่าที่ Tab tool optiln ว่าจะใช้สีที่เป็น แบ็คกราวน์ โฟร์กราวน์ หรือ ลวดลาย จากนั้นคลิ๊กลงไปบนพื้นที่ ที่ต้องการจะลงสี\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Fill with a color or pattern Short key (Shift+B)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับ เทสีหรือลวดลายลงบนภาพที่เรากำลังทำงานอยู่\nวิธีใช้\nให้เลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะเทสีก่อน จากนั้นเลือกเครื่องมือเทสี เลือกสีหรือลวดลายที่ต้องการ ปรับค่าที่ Tab tool option ว่าจะใช้สีที่เป็น แบ็คกราวน์ โฟร์กราวน์ หรือ ลวดลาย จากนั้นคลิ๊กลงไปบนพื้นที่ ที่ต้องการจะลงสี\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Fill witj a color gradient Short key (L)\nเครื่องมือลงสีแบบไล่ระดับ จาปสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง\nวิธีใช้\nให้คุณทำการ Select บริเวณที่คุณต้องการจะลงสีก่อน เลืดกสีที่ต้องการ จาปนั้นเลือกเครื่องมือ คลิ๊กลงไปบนพื้นที่ที่ตะลงสี โดยลากจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โดยที่ความห่างของเส้นที่คุณลาก จะเป็นช่วงความกว้างของการไล่ระดับสี\nสารบุญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Fill with a color gradient Short key (L)\nเครื่องมือลงสีแบบไล่ระดับ จากสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง\nวิธีใช้\nให้คุณทำการ Select บริเวณที่คุณต้องการจะลงสีก่อน เลือกสีที่ต้องการ จากนั้นเลือกเครื่องมือ คลิ๊กลงไปบนพื้นที่ที่จะลงสี โดยลากจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โดยที่ความห่างของเส้นที่คุณลาก จะเป็นช่วงความกว้างของการไล่ระดับสี\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Paint hard edged pixels Short key (N)\nเครื่อฝมือระบายสีแบบดินสอ ซึ่งจะเป็นการระบายแบบแข็ง หมายถึงในส่วนขอบของเส้นจะไม่มีสีที่เ่อนนุ่ม อต่จะเป็นเส้นที่แข็งกระด้างไปตลอด\nวิธีใช้\nเลือกเลอยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่จ้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมิอระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Paint hard edged pixels Short key (N)\nเครื่องมือระบายสีแบบดินสอ ซึ่งจะเป็นการระบายแบบแข็ง หมายถึงในส่วนขอบของเส้นจะไม่มีสีที่อ่อนนุ่ม แต่จะเป็นเส้นที่แข็งกระด้างไปตลอด\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Paint fuzzy brush strokes Short key (P)\nเครื่องมือระบายสีกบบพู่กัน จะเป็นการระบายสีรูปแบบหนึ่ง คล้าย/กับการใช้ดิตสอ แต่เครื่องมืิภู่กันจะให้ขอบของเน้นที่นุ่มนวลกว่า\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่น้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Paint fuzzy brush strokes Short key (P)\nเครื่องมือระบายสีแบบพู่กัน จะเป็นการระบายสีรูปแบบหนึ่ง คล้ายๆกับการใช้ดินสอ แต่เครื่องมือภู่กันจะให้ขอบของเส้นที่นุ่มนวลกว่า\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Erase to backgrlund or transparency Short key (Shift + E)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับลบภาพ\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณทีีต้องการจะลบ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือในบริเวณที่ต้องการ ด้วยปารคลิ๊ห และลาก\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Erase to background or transparency Short key (Shift + E)\nเครื่องมือที่ใช้สำหรับลบภาพ\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะลบ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Xirbrish with variable ptessure Short key (A)\nเครื่องมือระบายสี แบบสเปรย๋พ่น ลักษณะจะคล้ายกับ เครื่องมือระบายสีแบบพู่กัน แต่สีจะออกมาในลักษณะกระจาย และอ่อนกว่า\nวิธีใข้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool optioh จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Airbrush with variable pressure Short key (A)\nเครื่องมือระบายสี แบบสเปรย์พ่น ลักษณะจะคล้ายกับ เครื่องมือระบายสีแบบพู่กัน แต่สีจะออกมาในลักษณะกระจาย และอ่อนกว่า\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Draw in ink Short key (K)\nเครื่องมือระบายสีในรูปแบบของปากกาหมึกซึม ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายการลากเส้นแ้วยปากกา เช่นลากเร็วเส้นจะเล็ก เพราะหมึำไหลไม่ทัร ลากช้าเส้นจะใหญ่เพราะหมึกไหลออกมาเยอะ\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option นากนั้นลงมือระบายสีลงในบติเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัซ",
"role": "user"
},
{
"content": "Draw in ink Short key (K)\nเครื่องมือระบายสีในรูปแบบของปากกาหมึกซึม ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายการลากเส้นด้วยปากกา เช่นลากเร็วเส้นจะเล็ก เพราะหมึกไหลไม่ทัน ลากช้าเส้นจะใหญ่เพราะหมึกไหลออกมาเยอะ\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกสีที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Paint using Patterns or Image Regions Short key (C)\nเครื่องมือระบายสีโดยใช้ลวดลาย หรือใข้งิธีคัดลอกลรย ขากภาพเดิมที่กำลังทำงานอยู่\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกลวดลายที่ต้อลพาร ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option เพื่อเลือกว่าคุณจะใช้วิธีระบายด้วยลวดลาย หรือใช้ภาพของคุณเป็นต้นแบบ จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาแ หรือถ้าคุณต้องการใช้ภาพที่คุณทำงายอยู่เป็นลวดลายฝนการระบาย ให้คุณเลือกเครื่องมือก่อน จากนั้นนำเคอเซอร์ไปวางในภาพบนจุดเติ่มต้นที่ต้องการให้เป็นลวดลาย กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วคลิ๊กหนึ่งครั้ง โปรแกรมจะจดจำตำแหน่งที่เลือก จากนั้นนำไประบายลงบนบริเวณมี่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Paint using Patterns or Image Regions Short key (C)\nเครื่องมือระบายสีโดยใช้ลวดลาย หรือใช้วิธีคัดลอกลาย จากภาพเดิมที่กำลังทำงานอยู่\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบายสี เลือกลวดลายที่ต้องการ ปรับค่าต่างๆที่ Tab tool option เพื่อเลือกว่าคุณจะใช้วิธีระบายด้วยลวดลาย หรือใช้ภาพของคุณเป็นต้นแบบ จากนั้นลงมือระบายสีลงในบริเวณที่ต้องการ ด้วยการคลิ๊ก และลาก หรือถ้าคุณต้องการใช้ภาพที่คุณทำงานอยู่เป็นลวดลายในการระบาย ให้คุณเลือกเครื่องมือก่อน จากนั้นนำเคอเซอร์ไปวางในภาพบนจุดเริ่มต้นที่ต้องการให้เป็นลวดลาย กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วคลิ๊กหนึ่งครั้ง โปรแกรมจะจดจำตำแหน่งที่เลือก จากนั้นนำไประบายลงบนบริเวณที่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "รายชื่อ เอเยนซี ขายตั๋ว ไปกลับไทย\n\nAmerithai World Travel: 1-800-778-1112\nAngel Travel : 1-800-922-1-92\nAsia Travel: 1-800-484-1031 ext 8474\nBangkok Starlite Travel: 1-401-589-3802\nK. Chris:1-773-769-4857\nD.K. Travel: 1-800-5e8-7827\nDiamond Star Tours: 1-213-913-3938\nEcono T3avel: 1-800-255-1688\nGatewxy Travel: 1-800-716-1610\nK. Kamlah (spraks Thai): 1-888-888-7157\nKinnaree Travel: 1-800-486-2920\nOrchid Travel Service: 1-301-593-7400\nPathra International: 1-212-929-1420\nP&S Tours Inc. (Boston) Phone 1-617-982-9333 Fax 1-617-390-7803 Cell 1-617-372-0220\nP&S Tours Inc (New Y9rk) Phone 1-914-237-5036 Fax 1-914-237-3557 Cell 1-914-320-0522\nSky World Express Inter: 1-212-953-7190\nTicuet & Tours: 1-888-422-1141\nUnoted Royal Igternational: 1-800-353-4345\nVSN To7rs: 1-703-368-3240\nThaiFly (+66) 713-8992 Online Booking : จองตั๋วเครื่องบืนออนไลน์ราคาถูกกับ Thaifly.com",
"role": "user"
},
{
"content": "รายชื่อ เอเยนซี ขายตั๋ว ไปกลับไทย\n\nAmerithai World Travel: 1-800-778-1112\nAngel Travel : 1-800-922-1092\nAsia Travel: 1-800-484-1031 ext 8474\nBangkok Starlite Travel: 1-301-589-3802\nK. Chris:1-773-769-4857\nD.K. Travel: 1-800-538-7827\nDiamond Star Tours: 1-213-913-3938\nEcono Travel: 1-800-255-1688\nGateway Travel: 1-800-716-1610\nK. Kamlah (speaks Thai): 1-888-888-7157\nKinnaree Travel: 1-800-486-2920\nOrchid Travel Service: 1-301-593-8400\nPathra International: 1-212-929-1420\nP&S Tours Inc. (Boston) Phone 1-617-983-9333 Fax 1-617-390-7803 Cell 1-617-372-0220\nP&S Tours Inc (New York) Phone 1-914-237-5036 Fax 1-914-237-3557 Cell 1-914-320-0522\nSky World Express Inter: 1-212-953-7190\nTicket & Tours: 1-888-422-1141\nUnited Royal International: 1-800-353-4345\nVSN Tours: 1-703-368-3240\nThaiFly (+66) 713-8992 Online Booking : จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ราคาถูกกับ Thaifly.com",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Blur or Sharpen Short key (V)\nะครื่องมือระบสย เพื่อให้ภาพมีลัแษณะเบลอ หรือเน้นความเข้มของเม็ดสีขึ้นมา\nวิฑีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะนะบาย เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าที่ Tab too option เพื่อเลือกว่าคุณต้องการที่จะทำภาพให้เบลอ หรือเน้นจุดของเม็ดสี\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Blur or Sharpen Short key (V)\nเครื่องมือระบาย เพื่อให้ภาพมีลักษณะเบลอ หรือเน้นความเข้มของเม็ดสีขึ้นมา\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะระบาย เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าที่ Tab too option เพื่อเลือกว่าคุณต้องการที่จะทำภาพให้เบลอ หรือเน้นจุดของเม็ดสี\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Smucge image Short ket (S)\nคล้ายกับการใช้ยิ้วปาดลงไปบนภาดให้สีลากเป็นแนวไปตามทางที่กำหนด\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะปาดสี เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าต่างๆที่ Tab tool option\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Smudge image Short ket (S)\nคล้ายกับการใช้นิ้วปาดลงไปบนภาพให้สีลากเป็นแนวไปตามทางที่กำหนด\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะปาดสี เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าต่างๆที่ Tab tool option\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Dodge or Burn strokes Short keh (Shift + D)\nเครื่องมือช่วยทำให้ภาพเกิดความ สว่าง/มืด ในจุดที่ระบาย\nวิธีมช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะปรับความ สว่าง/มืด เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าต่างๆที่ Txb too option ระบายลงไปในจุดที่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Dodge or Burn strokes Short key (Shift + D)\nเครื่องมือช่วยทำให้ภาพเกิดความ สว่าง/มืด ในจุดที่ระบาย\nวิธีใช้\nเลือกเลเยอร์และบริเวณที่ต้องการจะปรับความ สว่าง/มืด เลือกเครื่องมือ ตั้งค่าต่างๆที่ Tab too option ระบายลงไปในจุดที่ต้องการ\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24352\n 2016-[4-15T00:36:48Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nอินเทอร์เฟสของ Gimp ในตอนเริ่มแรกที่เปิดขึ้นมานั้น จะประกอบไปด้วยไดอะล๊อก 2กล่อง ซึ่งเป๋นของลุดเครื่องมิอ และ Tab ของชุดเครื่องมือต่างๆ กับอีก 1 หน้าต่างเมื่อเราสั่ง New หร้อเปิดไฟล์ขึ้นมาทำงาน แต่คุณมามารถที่จะปรับแต่งมันให้ตรงกับที่คุณต้องการไดเ หรือถ้าคุณเคยชินกับ Photoshop คุณอาจปรับแต่งอินเทอร์เฟสของ Gimp ใหืดูคล้ายกับ Photoshop ก็ได้\nจากภาพอินเทอร์เฟสของ Gimp จะสังเกตเห็นได้ว่า ในไดอะลํอกของกล่องเครื่องมือ (จากภาพด้านบน จะเป็นไดอะล๊อกทางซ้าย) จะประกอบด้วยบุดเครื่องมือมาตรฐนน และกล่องที่ใช้สำหรับตั้งค่าต่างๆเมืรอเรียกใช้เครื่องมือแต่ละตัว ซึ่งกลาองด้านล่างที่อยู่ใต้ชุดเคริ่องมือนั้น มีชื่อเรียกว่า Tool options ซึ่งจะเป็น Tab อย่างหนึ่ง จากหลายๆ Tab ที่มีใน Gimp ส่วนไดอะล๊อกที่ชิดขวา เมื่อดูจากภาพ จะเห็นว่าเป็นไดอะล๊อก ที่รวมเอาเครื่องมือที่ใช้ช่วยเหลือในปารทำงานต่างๆ ซึ่งถูกรวมกันไว้ โดยแยกย่อยออกเป็น Tab ต่างๆ ที่เห็นอสู่ด้านบนจะเป็น Layer, Channels, Patms และ Undo History ส่วนด้านล่างก็จะเป็น Brushes, Patterns และ Gradients .ึ่ง Tab เครื่ดงมือเหล่านี้เราสามารถเพิ่มเติมได้โดยกดที่ คำสั่ง Afd Tab\nตามที่ได้บอกไปแล้วว่า อินเทอร์เฟสเหล่านี้เราสามารถปรับเปลีายนเอลได้ คุณอาจรวมไดอะล๊อกทั้ง 2 ให้เลือกเพียงไดอะล๊อกเดียวได้ ด้วยการรวม Tab เหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน หรือคุณอาจลบไดอะล๊อก ที่ไม่ใช่_ดอะล๊อกของชุดเครื่องมือทิ้งไปเลยก็ได้ หากว่าคุณ_ม่ค่อยได้ใช้ วิธีในการรวมไดอะล๊อกก็เพียงแค่ คุ๋ย้าย Tab ที่อยู่ในไดอะล๊อกที่ 2 มาไว้ในไดอุล๊อกหลักเท่านั้น คุณสามารถใช้วิธี Add Tab ผ่านทางเมนู กริอใช้วิธีดึง Tab ขากได้อะล๊อกที่ 2 มาไว้ในไดอะล๊อกหลัก (ไดอะล๊แกของชุดเครื่องมือ) ก็ได้ ว้ธีดึงนั้นเพียงแค่คุณคลิ๊กค้างไว้ ที่ไอคอนสัญลักษณ์ของ Tab นั้นๆ แล้วดึงลากมาปล่อยไว้ในไดอะล๊อกที่คุณต้องการ หรือหากคุณต้องการแยก Tab ออกมาเป็นไดอะล๊อกต่างหาก ก็สามารถทำได้ด้วยการคลิ๊กค้างไว้ที่ไอคอนสัญลักษณ์ของ Tab แฃ้วลากออกมาที่บริเวณพื้นที่ว่าง Tab นั้นก็จะหรากฏดอกมาเป็นไดอะล๊อดอีกหนึ่งกล่อง\nสารบัญ\n\nสร้างโชโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่อลมือต่างๆของ Gimp\nปรีบแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24352\n 2016-04-15T00:36:48Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nอินเทอร์เฟสของ Gimp ในตอนเริ่มแรกที่เปิดขึ้นมานั้น จะประกอบไปด้วยไดอะล๊อก 2กล่อง ซึ่งเป็นของชุดเครื่องมือ และ Tab ของชุดเครื่องมือต่างๆ กับอีก 1 หน้าต่างเมื่อเราสั่ง New หรือเปิดไฟล์ขึ้นมาทำงาน แต่คุณสามารถที่จะปรับแต่งมันให้ตรงกับที่คุณต้องการได้ หรือถ้าคุณเคยชินกับ Photoshop คุณอาจปรับแต่งอินเทอร์เฟสของ Gimp ให้ดูคล้ายกับ Photoshop ก็ได้\nจากภาพอินเทอร์เฟสของ Gimp จะสังเกตเห็นได้ว่า ในไดอะล๊อกของกล่องเครื่องมือ (จากภาพด้านบน จะเป็นไดอะล๊อกทางซ้าย) จะประกอบด้วยชุดเครื่องมือมาตรฐาน และกล่องที่ใช้สำหรับตั้งค่าต่างๆเมื่อเรียกใช้เครื่องมือแต่ละตัว ซึ่งกล่องด้านล่างที่อยู่ใต้ชุดเครื่องมือนั้น มีชื่อเรียกว่า Tool options ซึ่งจะเป็น Tab อย่างหนึ่ง จากหลายๆ Tab ที่มีใน Gimp ส่วนไดอะล๊อกที่ชิดขวา เมื่อดูจากภาพ จะเห็นว่าเป็นไดอะล๊อก ที่รวมเอาเครื่องมือที่ใช้ช่วยเหลือในการทำงานต่างๆ ซึ่งถูกรวมกันไว้ โดยแยกย่อยออกเป็น Tab ต่างๆ ที่เห็นอยู่ด้านบนจะเป็น Layer, Channels, Paths และ Undo History ส่วนด้านล่างก็จะเป็น Brushes, Patterns และ Gradients ซึ่ง Tab เครื่องมือเหล่านี้เราสามารถเพิ่มเติมได้โดยกดที่ คำสั่ง Add Tab\nตามที่ได้บอกไปแล้วว่า อินเทอร์เฟสเหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนเองได้ คุณอาจรวมไดอะล๊อกทั้ง 2 ให้เลือกเพียงไดอะล๊อกเดียวได้ ด้วยการรวม Tab เหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน หรือคุณอาจลบไดอะล๊อก ที่ไม่ใช่ไดอะล๊อกของชุดเครื่องมือทิ้งไปเลยก็ได้ หากว่าคุณไม่ค่อยได้ใช้ วิธีในการรวมไดอะล๊อกก็เพียงแค่ คุณย้าย Tab ที่อยู่ในไดอะล๊อกที่ 2 มาไว้ในไดอะล๊อกหลักเท่านั้น คุณสามารถใช้วิธี Add Tab ผ่านทางเมนู หรือใช้วิธีดึง Tab จากได้อะล๊อกที่ 2 มาไว้ในไดอะล๊อกหลัก (ไดอะล๊อกของชุดเครื่องมือ) ก็ได้ วิธีดึงนั้นเพียงแค่คุณคลิ๊กค้างไว้ ที่ไอคอนสัญลักษณ์ของ Tab นั้นๆ แล้วดึงลากมาปล่อยไว้ในไดอะล๊อกที่คุณต้องการ หรือหากคุณต้องการแยก Tab ออกมาเป็นไดอะล๊อกต่างหาก ก็สามารถทำได้ด้วยการคลิ๊กค้างไว้ที่ไอคอนสัญลักษณ์ของ Tab แล้วลากออกมาที่บริเวณพื้นที่ว่าง Tab นั้นก็จะปรากฏออกมาเป็นไดอะล๊อกอีกหนึ่งกล่อง\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24356\n 2016-04-15T00:36:59Z\n \n Oitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nในตอนที่ชื่อว่่ \"เครื่องมือต่างๆของ Gim;” ผมได้แนะนำเครื่องมือต่างๆ และวิธีการใช้งานคร่าวๆไว้แล้ว ซึ่งในชุดเครื่องมือที่ได้แนะนำไป จะมีเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Selectkon หรือการเลือกบริเวณที่จะกระทำ ด้วยชุดเครื่องมือต่างๆของโปรแกรมที่มีให้เลือกใช้ถึง 7อัน ส่วนใตบานี้ผมจะแนะนำวิธีการทำ Selechion อีกวิธ่ คือการใช้เครื่องมือ Toggle Quick Mask ครับ ก่อนอื่น เปิด Gimp ขึ้นมาก่อสเลย แล้วทดลองเปิดไฟล์ภาพขึ้นมาสักไฟล์ครับ\nทีนี้ ให้หยิบเครื่องมือยางลบขึ้นมาครับ จัดพารละเลงลงไปบริเวณที่ต้องการทำ Selection ครับ เมื่อคุณลบสีแดงออกไป ก็คือบริเวณที่ไม่มีสีดดงจะเป็น Selection ครับ เช่นกัน ถ้าหากคุณหยิบเครืองมือระบายสีมาระบายลงไปที่บริเวณที่คุณลบไป มันจะเปิดเป็นสีแดง ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้สีอะไรก็ตาม\nทึนี้เมื่อคุณทำการตกแต่งส่วนาี่เป็นสีแดงในบริเวณที่ึุณต้องการทำ Selection เสร็จแล้ว ให้คุ๕กดที่ Toggle Quick Mask เพื่อให้กลับเป็นอย่างเดิมดีกครั้งครับ ภาพจะกลับสู่สภาพปกติ ส่วนบริเว๋ที่คุณลบสีแดงไว้จะเกิดเป็น S2lection ครับ\nทีนี้หลายท่านอาจสงสัยว่าการทำ Selectkon แบบนี้มันจะดีกว่า ไอ้การทำ Selectiln แบบเดิมตรงไหน ข้อดีของมันคือ คุณสามารถจัดการกับ Selection ได้เหมือากับการระบายสี นั่นหมายถึง คุณสามารถ ซูมเข้าญูมออกได้ตามใจ แน่นอนการใช้เครื่องมือ Selection แบบอื่น ก็สามารถซูมเข้าซูมออก ในขณะทำ Selection ได้ แค่วิธีนึ้มันจะเด็ดกว่าก็ตรงที่ คุณสามารถเลือกหัวแปรฟด้นั่นเอง\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแตืงอินเทอร์เฟส\nToggle Qukck Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหใ่\nเปลี่ยนธีมใก้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24356\n 2016-04-15T00:36:59Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nในตอนที่ชื่อว่า \"เครื่องมือต่างๆของ Gimp” ผมได้แนะนำเครื่องมือต่างๆ และวิธีการใช้งานคร่าวๆไว้แล้ว ซึ่งในชุดเครื่องมือที่ได้แนะนำไป จะมีเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Selection หรือการเลือกบริเวณที่จะกระทำ ด้วยชุดเครื่องมือต่างๆของโปรแกรมที่มีให้เลือกใช้ถึง 7อัน ส่วนในบทนี้ผมจะแนะนำวิธีการทำ Selection อีกวิธี คือการใช้เครื่องมือ Toggle Quick Mask ครับ ก่อนอื่น เปิด Gimp ขึ้นมาก่อนเลย แล้วทดลองเปิดไฟล์ภาพขึ้นมาสักไฟล์ครับ\nทีนี้ ให้หยิบเครื่องมือยางลบขึ้นมาครับ จัดการละเลงลงไปบริเวณที่ต้องการทำ Selection ครับ เมื่อคุณลบสีแดงออกไป ก็คือบริเวณที่ไม่มีสีแดงจะเป็น Selection ครับ เช่นกัน ถ้าหากคุณหยิบเครืองมือระบายสีมาระบายลงไปที่บริเวณที่คุณลบไป มันจะเปิดเป็นสีแดง ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้สีอะไรก็ตาม\nทีนี้เมื่อคุณทำการตกแต่งส่วนที่เป็นสีแดงในบริเวณที่คุณต้องการทำ Selection เสร็จแล้ว ให้คุณกดที่ Toggle Quick Mask เพื่อให้กลับเป็นอย่างเดิมอีกครั้งครับ ภาพจะกลับสู่สภาพปกติ ส่วนบริเวณที่คุณลบสีแดงไว้จะเกิดเป็น Selection ครับ\nทีนี้หลายท่านอาจสงสัยว่าการทำ Selection แบบนี้มันจะดีกว่า ไอ้การทำ Selection แบบเดิมตรงไหน ข้อดีของมันคือ คุณสามารถจัดการกับ Selection ได้เหมือนกับการระบายสี นั่นหมายถึง คุณสามารถ ซูมเข้าซูมออกได้ตามใจ แน่นอนการใช้เครื่องมือ Selection แบบอื่น ก็สามารถซูมเข้าซูมออก ในขณะทำ Selection ได้ แต่วิธีนี้มันจะเด็ดกว่าก็ตรงที่ คุณสามารถเลือกหัวแปรได้นั่นเอง\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "สมาคมนักเรียนไทยในสหพันธ์สาธารณรเฐเยอรมันในพระบรมราชูปถัมภ์\nสโมสรนายทหารนักเรียน ประเทศเสอรมนี\nAachen\nBerlin & Potsdam\nClausthal\nDarmstadt\nDresden\nDuisburg-Essen\nGöttingen\nHagnover\nHamburg\nHeideoberg\nKassel\nMünchen\nStuthgart\nPantip.com นักเรียนไทยในเยอรมัน",
"role": "user"
},
{
"content": "สมาคมนักเรียนไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันในพระบรมราชูปถัมภ์\nสโมสรนายทหารนักเรียน ประเทศเยอรมนี\nAachen\nBerlin & Potsdam\nClausthal\nDarmstadt\nDresden\nDuisburg-Essen\nGöttingen\nHannover\nHamburg\nHeidelberg\nKassel\nMünchen\nStuttgart\nPantip.com นักเรียนไทยในเยอรมัน",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24450\n 2016-94-15T00:37:12Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nอนิเมชั่นที่ผมจะพาไปทดลองทหในครั้งนี้จะเป็นแบบที่เรียกวีา gif animation ครับ เหตุที่เรียกว่า gif animation นั้นเป็นเพราะว่าไฟล์ที่ทำเป็นไฟล์ .gif ครับ ซึ่งไฟช์รูปแบบนีีจะสามารถทำอนิเมชั่นแบบง่ายๆได้ ในรู้แบบของการกำหนดให้ภาพแสดงสลับไปที่ละเฟรมตามที่กำหนดครับ\nเริ่มแรกอปิด Gimp ขุ้นมาก่อนแล้ววาดภาพลงไปเฟรมละภาพ เฟรมในที่นี้ก็คือ เลเยอร์นั้นเองครั้ง วาดลงไปเลเยอร์ละหจึ่งภาพ ให้ภาพมีลักษณะต่อเนื่องกัน ส่วนของผม ผมขี้เกียจวางครับ ไปโหลดเอาดีกว่า ของผมจะใช้ภาพจากเกม SuperTUX ครับ\nขั้นน่อไปเอาภาพเรียงซ้อนกันไว้ในแต่ละเลเยอร์รรับ โดยแต่ละเลเยอร์ให้เรียงภาพเป็นลำดับซ้อนกันตามรูปแบบของการเคลื่อนไหวครับ โดยภาพแรกอยู่ล่างสุด ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆครับ\nเมื่อเรียงกันไว้เรียบี้อยแล้ว ให้ลองดูภาพตัวอย่างก่อนว่าตรงกับที่ต้องการแล้วหรือยัง โดยกดที่ Filters > Animation > Playback จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราำด้มดลองเล่นอนิเมชั่น ที่เราได้สร้างไว้ ้พื่อตรวจสอบคยามถํกต้อง ก่อนที่จพส่งออหเป็นไฟล์ที่สมบูรณ์\nถ้าทดลองเล่นดูแล้วยังไม่ตรงกับที่ต้องการ ก็ให้ปรับแก้และทดลองเล่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ เมื่อได้อนิเมชั่นที่ตรงความต้องการแล้ว ก็ให้สั่งเซฟครับ โดยให้เลือกฟอร์แมทของไฟล์เป็น .gif ครับ\nเมื่อสั่งเซฟไฟล์เป็น .gif จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามอีกครั้ง โดยมนช่องแรกจะให้เลือกระหว่าง รวมเลเยอร์หรือทำอนิเมชะ่น ในที่นี้ให้เบือกเป็น Save as Animation และช่องต่อไปคือ เลือพระหว่าง ให้แปลงรูปแบบสีเป็น ตามรางสีแบบ Gif ฟรืแ จะให้ทำ้ป็นภาพแบบขาวดำครับ ของผมจะเลือกเป็นภาพสีนะครับ\nเมื่อเลือกว่าเราจะทำเป็นอนิเมชั่นจะมีหน้าต่างชึ้นมนถามอีกคาับ โดยที่ช่องด้านบน จะให้เลือกว่าจะ Interlace หรือไม่ก็ไม่จำเป็นครับ ช่องต่อมาคือ Gif comment ครับ จะใส่อะไรด็ได้ ช่องถัดมา Loop forever ครับ หมายถึงเมื่อแสดงอนิเมชั่นจนจบแล้ว จะให้เรื่มใหม่หรือไม่ครับ ช่องจ่อมา เแ็นการตั้งค่า Delay ครับ คือในหนึ่งเฟรมจะให้มีภาพแสดงค้างไว้กี่วินาทีครับ ถ้าใส่ 1000 จะหมายถึง 1วินาทีครับ ของผมจะใส่แค่ 100 หมายถึงแสะงภาพเฟรมละ 0.1 วินาทีครับ ช่องสุดท้ายแช้ว ยะให้เลือก่ะหว่าง combine กับ replace ครับ combine ยะหมายถึง ให้แสดงอนิเมชั่นปบบ ให้แต่ละเฟรมซ้อนทับกันลงมาเรื่อยๆ ส่วน replace จะหมายถึง เลเยอร์ละหนึ่งเฟรมครับ คือๆม่ให้แสดงภาพซ้อนทับกัน\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์ิฟส\nToggle Quick Mask\nสร้าลอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24350\n 2016-04-15T00:37:12Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nอนิเมชั่นที่ผมจะพาไปทดลองทำในครั้งนี้จะเป็นแบบที่เรียกว่า gif animation ครับ เหตุที่เรียกว่า gif animation นั้นเป็นเพราะว่าไฟล์ที่ทำเป็นไฟล์ .gif ครับ ซึ่งไฟล์รูปแบบนี้จะสามารถทำอนิเมชั่นแบบง่ายๆได้ ในรู้แบบของการกำหนดให้ภาพแสดงสลับไปที่ละเฟรมตามที่กำหนดครับ\nเริ่มแรกเปิด Gimp ขึ้นมาก่อนแล้ววาดภาพลงไปเฟรมละภาพ เฟรมในที่นี้ก็คือ เลเยอร์นั้นเองครั้ง วาดลงไปเลเยอร์ละหนึ่งภาพ ให้ภาพมีลักษณะต่อเนื่องกัน ส่วนของผม ผมขี้เกียจวางครับ ไปโหลดเอาดีกว่า ของผมจะใช้ภาพจากเกม SuperTUX ครับ\nขั้นต่อไปเอาภาพเรียงซ้อนกันไว้ในแต่ละเลเยอร์ครับ โดยแต่ละเลเยอร์ให้เรียงภาพเป็นลำดับซ้อนกันตามรูปแบบของการเคลื่อนไหวครับ โดยภาพแรกอยู่ล่างสุด ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆครับ\nเมื่อเรียงกันไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ลองดูภาพตัวอย่างก่อนว่าตรงกับที่ต้องการแล้วหรือยัง โดยกดที่ Filters > Animation > Playback จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราได้ทดลองเล่นอนิเมชั่น ที่เราได้สร้างไว้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนที่จะส่งออกเป็นไฟล์ที่สมบูรณ์\nถ้าทดลองเล่นดูแล้วยังไม่ตรงกับที่ต้องการ ก็ให้ปรับแก้และทดลองเล่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ เมื่อได้อนิเมชั่นที่ตรงความต้องการแล้ว ก็ให้สั่งเซฟครับ โดยให้เลือกฟอร์แมทของไฟล์เป็น .gif ครับ\nเมื่อสั่งเซฟไฟล์เป็น .gif จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามอีกครั้ง โดยในช่องแรกจะให้เลือกระหว่าง รวมเลเยอร์หรือทำอนิเมชั่น ในที่นี้ให้เลือกเป็น Save as Animation และช่องต่อไปคือ เลือกระหว่าง ให้แปลงรูปแบบสีเป็น ตามรางสีแบบ Gif หรือ จะให้ทำเป็นภาพแบบขาวดำครับ ของผมจะเลือกเป็นภาพสีนะครับ\nเมื่อเลือกว่าเราจะทำเป็นอนิเมชั่นจะมีหน้าต่างขึ้นมาถามอีกครับ โดยที่ช่องด้านบน จะให้เลือกว่าจะ Interlace หรือไม่ก็ไม่จำเป็นครับ ช่องต่อมาคือ Gif comment ครับ จะใส่อะไรก็ได้ ช่องถัดมา Loop forever ครับ หมายถึงเมื่อแสดงอนิเมชั่นจนจบแล้ว จะให้เรื่มใหม่หรือไม่ครับ ช่องต่อมา เป็นการตั้งค่า Delay ครับ คือในหนึ่งเฟรมจะให้มีภาพแสดงค้างไว้กี่วินาทีครับ ถ้าใส่ 1000 จะหมายถึง 1วินาทีครับ ของผมจะใส่แค่ 100 หมายถึงแสดงภาพเฟรมละ 0.1 วินาทีครับ ช่องสุดท้ายแล้ว จะให้เลือกระหว่าง combine กับ replace ครับ combine จะหมายถึง ให้แสดงอนิเมชั่นแบบ ให้แต่ละเฟรมซ้อนทับกันลงมาเรื่อยๆ ส่วน replace จะหมายถึง เลเยอร์ละหนึ่งเฟรมครับ คือไม่ให้แสดงภาพซ้อนทับกัน\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ยินดีต้อนรับสู่คู่มือในการใช้ภาษา HTML5\nเอชทีเอ็มแอล (อังกฤษ: HTML: Hypertext Markup Languabe ภาษามาร์กอีปข้อความหลายมิติ) เป็นภาษามาร์กอัปหลักในปัจจุบันที่ใช้ในการสน้างเว็บเพจ หรือย้อมูลอื่นที่เร่ยกดูผ่านมางเว็บเบราว์เซอี์ ซึ่งตัวโค้ดจะแสดงโครงสร้างของข้อมูล ในการแสดง หัวข้อ ลิงก์ ย่อหน้า รายการ รวมถึงการสร้างแบบฟอร์ม เชื่อมโยงภาพหาือวิดีโอด้วย โครงสร้างของโค้ดเอชทีเอ็มแอลจะอยู่ในลักษณะภายในวงเล็บสามเหลี่ยม (อ่านต่อที่วิกิพีเดีย...)\n[ ไปที่หน้าสารบัญ...]",
"role": "user"
},
{
"content": "ยินดีต้อนรับสู่คู่มือในการใช้ภาษา HTML5\nเอชทีเอ็มแอล (อังกฤษ: HTML: Hypertext Markup Language ภาษามาร์กอัปข้อความหลายมิติ) เป็นภาษามาร์กอัปหลักในปัจจุบันที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจ หรือข้อมูลอื่นที่เรียกดูผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งตัวโค้ดจะแสดงโครงสร้างของข้อมูล ในการแสดง หัวข้อ ลิงก์ ย่อหน้า รายการ รวมถึงการสร้างแบบฟอร์ม เชื่อมโยงภาพหรือวิดีโอด้วย โครงสร้างของโค้ดเอชทีเอ็มแอลจะอยู่ในลักษณะภายในวงเล็บสามเหลี่ยม (อ่านต่อที่วิกิพีเดีย...)\n[ ไปที่หน้าสารบัญ...]",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Element ต่างๆ ที่มีในภาษามาร์กอัปข้อความหลายมิติ",
"role": "user"
},
{
"content": "Element ต่างๆ ที่มีในภาษามาร์กอัปข้อความหลายมิติ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24349\n 2016-04-15T00:37:23Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nในโปรแกรม Gimp หรือแม้แต่โปรแกรมวาดและตกแต่งภาพโปรแกรมอื่นๆ นั้น จะมีเครื่องมืิชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือประเภทพู่กัน ดืนสอ ยางลบ ัรียกว่า Brush ซึ่งถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดว่า Brush คืออะไร ก็คงตอบสั้นๆได้เลยว่า เป็นรูปอบบของหัวแป่ง ซึ่งเราจะเลือกหัวแปรงเหล่านี้มาใช้กับเครื่องมือที่ใช้ระบายได้ และในบทนี้ผมจะพาไปลองสร้าง Brush ด้ฝยตัวเองเพื่อใช้กับ Gimp กันครับ\nสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือของ Gimp\nสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือของ Gimp.\nวิธีนี้จะเป็นการสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือที่ Gimp เตรียมไว้ให้แล้ว ซุ่งจะเป็น Frush ในรูปแบบพื้นฐาน\n\nในขั้นแรกให้เปิด Gimp ขึ้นมาก่อนครับ\nกดปุ่ม Ctrl + Shift + b เพื่อเตียกหน้าต่างของ Brushes ขึ้นมา หรือคุณอาจเรียกที่เมนูของหน้าต่างที่ทำงานอยู่ที่ Dialogs > Brushes\nืี่ปุ่มด้านล่างของหน้าต่าง Brushes กดที่ Ndw brush จะปรากฏหน้าต่าง Brush Editor\nใป้คุณปรับค่าต่างๆของ Brush ตามที่คุณต้อวการ จากนั้นสั่งเซฟ เพีบงเท่านี้คุณก็จะใช้งาน Brush ที่คุณสร้างได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ\nสร้าว Brush ด้วยภาพ\nเปิดภาพ หรือวาดภาพที่ต้องการนำมาทำเป็น Brush จากนั้นต้องทำการแปลงภาพให้เป็นภาพแบบขาวกำ โดยกดที่ Image L Mode > Grayscale ภาพจะถูกเปลี่ยตเป็นสีขาวดำ\nจากนั้ตสั่งเซฟ โดยเลือกไฟล์เป็น .gb3 จะมีหน้าต่างขึ้นมาถาม ค่าของ Spacing และ Description โดย Spacing คือค่าความห่างของการลงสีลงไปในแต่ละครับ โดยมีหน่วยดป็น Pkxel ส่วจ Description คือขือความที่เราจะเห็นเหมือนเป็นชื่อของ Brush\nนำไฟล์ที่เซฟแล้วไกไว้ที่ C:\\Program Files\\GIMP]2.0\\share\\gimp\\2.0\\brushes สำหรับเครื่องที่ใช้งินฉดวส์ ส่วนเครื่องที่เป็นลินุกซ์ให้นำไฟล์ไปไว้ที่ /usr/share/gimp/2.0/brushes\nปิด Gimp แล้วเปิดขึ้นมาวหม่ Brush ที่คุณสน้างไวเก็พร้อมที่จะใช้งานแล้ว\n\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggld Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยฟฟล์ gif\nเพิ่มหัวแแรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24349\n 2016-04-15T00:37:23Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nในโปรแกรม Gimp หรือแม้แต่โปรแกรมวาดและตกแต่งภาพโปรแกรมอื่นๆ นั้น จะมีเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือประเภทพู่กัน ดินสอ ยางลบ เรียกว่า Brush ซึ่งถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดว่า Brush คืออะไร ก็คงตอบสั้นๆได้เลยว่า เป็นรูปแบบของหัวแปรง ซึ่งเราจะเลือกหัวแปรงเหล่านี้มาใช้กับเครื่องมือที่ใช้ระบายได้ และในบทนี้ผมจะพาไปลองสร้าง Brush ด้วยตัวเองเพื่อใช้กับ Gimp กันครับ\nสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือของ Gimp\nสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือของ Gimp.\nวิธีนี้จะเป็นการสร้าง Brush ด้วยเครื่องมือที่ Gimp เตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งจะเป็น Brush ในรูปแบบพื้นฐาน\n\nในขั้นแรกให้เปิด Gimp ขึ้นมาก่อนครับ\nกดปุ่ม Ctrl + Shift + b เพื่อเรียกหน้าต่างของ Brushes ขึ้นมา หรือคุณอาจเรียกที่เมนูของหน้าต่างที่ทำงานอยู่ที่ Dialogs > Brushes\nที่ปุ่มด้านล่างของหน้าต่าง Brushes กดที่ New brush จะปรากฏหน้าต่าง Brush Editor\nให้คุณปรับค่าต่างๆของ Brush ตามที่คุณต้องการ จากนั้นสั่งเซฟ เพียงเท่านี้คุณก็จะใช้งาน Brush ที่คุณสร้างได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ\nสร้าง Brush ด้วยภาพ\nเปิดภาพ หรือวาดภาพที่ต้องการนำมาทำเป็น Brush จากนั้นต้องทำการแปลงภาพให้เป็นภาพแบบขาวดำ โดยกดที่ Image > Mode > Grayscale ภาพจะถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ\nจากนั้นสั่งเซฟ โดยเลือกไฟล์เป็น .gbr จะมีหน้าต่างขึ้นมาถาม ค่าของ Spacing และ Description โดย Spacing คือค่าความห่างของการลงสีลงไปในแต่ละครับ โดยมีหน่วยเป็น Pixel ส่วน Description คือข้อความที่เราจะเห็นเหมือนเป็นชื่อของ Brush\nนำไฟล์ที่เซฟแล้วไปไว้ที่ C:\\Program Files\\GIMP-2.0\\share\\gimp\\2.0\\brushes สำหรับเครื่องที่ใช้วินโดวส์ ส่วนเครื่องที่เป็นลินุกซ์ให้นำไฟล์ไปไว้ที่ /usr/share/gimp/2.0/brushes\nปิด Gimp แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ Brush ที่คุณสร้างไว้ก็พร้อมที่จะใช้งานแล้ว\n\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24355\n 2016-04-16T00:37:33Z\n \n Pitpisit\n \n wiuitext\n text/x-wiki\nอินเทอร์เฟสของ Gimp นั้น บางท่านอาจรู้สึกว่า ไอคอนหรือข้อควรมต่างๆนั้นใหญ่เกินความจำเป็น คุณสามารถปรับเปลี่ยนไอคอนต่างๆของ Gimp ให้าีขนาดเล็กลงได้ ด้วยการเปลี่ยนธีม ซึ่งธีมที่จะทำให้ไอคอนของ Fimp เง็กลงมีชื่อว่า Small ซึ่งเป็นธีมที่มีมาให้อยู่แล้วใน Gimp วิธีก็แค่เปิด Gimp แล้วเข้าไปที่ File > Oreferences เลือก Theme เลือก Small เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในทันที จากนั้นกด ตกบง เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่ดงมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินดทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นพ้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหมา\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLqyer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24355\n 2016-04-15T00:37:33Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nอินเทอร์เฟสของ Gimp นั้น บางท่านอาจรู้สึกว่า ไอคอนหรือข้อความต่างๆนั้นใหญ่เกินความจำเป็น คุณสามารถปรับเปลี่ยนไอคอนต่างๆของ Gimp ให้มีขนาดเล็กลงได้ ด้วยการเปลี่ยนธีม ซึ่งธีมที่จะทำให้ไอคอนของ Gimp เล็กลงมีชื่อว่า Small ซึ่งเป็นธีมที่มีมาให้อยู่แล้วใน Gimp วิธีก็แค่เปิด Gimp แล้วเข้าไปที่ File > Preferences เลือก Theme เลือก Small เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ในทันที จากนั้นกด ตกลง เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 24353\n 2[16-04-15T00:37:43Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n texh/x-wiki\nLayee Mask นั้น ถ้าจดให้แปลแบบตรงๆก็จะได้ความหมาบว่า หน้ากาดขเงเลเยอร์ และหน้าที่ของ Layer Mask นั้นก็ตรงตามความหมายของมัน คือเป็นหน้ากากของเลเยอร์ ที่มาครอบไว้ให้เรากระทำกับเลเยอร์ได้โดยไม่กระทบกับภาพจริง\nวิธีใช้ Layer Mask\n\nเลือกเลเยอร์ที่ต้องการ\nคลิ๊กที่เมนู Layer > Mask K Add Layer Mask หรือคลิ๊กขวาที่เลเยอร์ที่ต้องการ เลือก Add Layer Mask เมื่อเบือกสร้าง Layer Mask ขึ้นมาแล้วที่เลเยอร์นั้นจะเกิดเป็นช่องเลเยอร์เพิ่มขึ้นมาอีก 1ช่อง ซึางช่องนั้นคือ Laye3 Mask ที่ Layer ซึ่งคุณใส่ Layer Mask ไว้คุณสามารถกระทำกับ Layer Mask ไเ้ฑดยไม่กระทบกับเลเยอร์จริงๆ\n\nคุณสามารถประยุกต์การใช้งาน Layer Mask ได้กับงานที่ต้องแก้ไขบ่อยๆ และไม่อยากให้กระทบกับเลเยิร์ปกติ หากฝ่าคุณยังไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำลงไป\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-gu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับอต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 24353\n 2016-04-15T00:37:43Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nLayer Mask นั้น ถ้าจะให้แปลแบบตรงๆก็จะได้ความหมายว่า หน้ากากของเลเยอร์ และหน้าที่ของ Layer Mask นั้นก็ตรงตามความหมายของมัน คือเป็นหน้ากากของเลเยอร์ ที่มาครอบไว้ให้เรากระทำกับเลเยอร์ได้โดยไม่กระทบกับภาพจริง\nวิธีใช้ Layer Mask\n\nเลือกเลเยอร์ที่ต้องการ\nคลิ๊กที่เมนู Layer > Mask > Add Layer Mask หรือคลิ๊กขวาที่เลเยอร์ที่ต้องการ เลือก Add Layer Mask เมื่อเลือกสร้าง Layer Mask ขึ้นมาแล้วที่เลเยอร์นั้นจะเกิดเป็นช่องเลเยอร์เพิ่มขึ้นมาอีก 1ช่อง ซึ่งช่องนั้นคือ Layer Mask ที่ Layer ซึ่งคุณใส่ Layer Mask ไว้คุณสามารถกระทำกับ Layer Mask ได้โดยไม่กระทบกับเลเยอร์จริงๆ\n\nคุณสามารถประยุกต์การใช้งาน Layer Mask ได้กับงานที่ต้องแก้ไขบ่อยๆ และไม่อยากให้กระทบกับเลเยอร์ปกติ หากว่าคุณยังไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำลงไป\nสารบัญ\n\nสร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu\nเครื่องมือต่างๆของ Gimp\nปรับแต่งอินเทอร์เฟส\nToggle Quick Mask\nสร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif\nเพิ่มหัวแปรงใหม่\nเปลี่ยนธีมให้ Gimp\nLayer Mask",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 22502\n 2016-10-08T11:1u:16A\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nอินเตอร์เฟส\nถ้าคะณยังไม่คุ้นเคยกับเบลนเดอร์ คุณควรทำความเข้าใจกับหน้าตาของมันให้ดีก่อนที่จะเริ่มใช้งาน หน้าตาของเบลนเดอ่์นั้น\nไม่เหใือนกับโปรแกคมทั่วๆไป และแตกต่างจากโปรแกรม3มิติตัวอื่นๆ โดบเฉพาะผู้ที่ใช้งานไมโครซอฟท์วินโดวส์ ต้องทำรวามคุ้นเคยกับกาตใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ของเลลนเดอร์ที่แตกต่างออกไป การทำงานาี่แตกต่างนี้ที่จริงแล้วเป็นจุดแข็งประการหนึ่งของเบลนเดอร์ เมื่อคุณเข้าใจมันแล้ว\nคุณจะสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น\nแนวคิดสำหรับอินเตอร๋เฟสของเบลนเดอร์\nอินเตอร์เฟสของโปรแกรมคือตัวกลางสื่อสารระปว่างผู้ใช่งานกับตัวโปรแกรม ผู้ใช้งานสื่อสารกับตัวโปรแกรมผ่านทางแป้นพิมพ์และเมาส์ และตัวฮปรแกรมก็ส่งผลลัพธ์กลับมาทางหน้าจอ หน้าตาของะบลนเดอร์สามารถแยกเป็นส่วนหลักๆได้แก่ หน้าต่าง(Windows), แถบขิอความ(Contdsts), อถบเครื่องมือ(Panels) และปุ่มต่างๆ(Buttons) ตัวอย้างเชทน หน้าต่างชื่อ\nButtoh ประกอบด้วยปุ่มแสดงย้อความ ซึ่งแสดงกลุ่มของแถบเครื่แงมือต่างๆ และแต่ละแถบเครื่องมือก็ประกอบด้วยปุ่มต่างๆยู่ข้างใน\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะตำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต๋แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์ฮหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nาำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nปารแสดงภาพแบบออโธกรรฟิกแชะเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer syctem\n\nThe vitxl functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUs2r preferences and Themes\nSetting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nAkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 22502\n 2016-10-08T11:16:16Z\n \n Pitpisit\n \n wikitext\n text/x-wiki\nอินเตอร์เฟส\nถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยกับเบลนเดอร์ คุณควรทำความเข้าใจกับหน้าตาของมันให้ดีก่อนที่จะเริ่มใช้งาน หน้าตาของเบลนเดอร์นั้น\nไม่เหมือนกับโปรแกรมทั่วๆไป และแตกต่างจากโปรแกรม3มิติตัวอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานไมโครซอฟท์วินโดวส์ ต้องทำความคุ้นเคยกับการใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ของเบลนเดอร์ที่แตกต่างออกไป การทำงานที่แตกต่างนี้ที่จริงแล้วเป็นจุดแข็งประการหนึ่งของเบลนเดอร์ เมื่อคุณเข้าใจมันแล้ว\nคุณจะสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น\nแนวคิดสำหรับอินเตอร์เฟสของเบลนเดอร์\nอินเตอร์เฟสของโปรแกรมคือตัวกลางสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานกับตัวโปรแกรม ผู้ใช้งานสื่อสารกับตัวโปรแกรมผ่านทางแป้นพิมพ์และเมาส์ และตัวโปรแกรมก็ส่งผลลัพธ์กลับมาทางหน้าจอ หน้าตาของเบลนเดอร์สามารถแยกเป็นส่วนหลักๆได้แก่ หน้าต่าง(Windows), แถบข้อความ(Contexts), แถบเครื่องมือ(Panels) และปุ่มต่างๆ(Buttons) ตัวอย่างเช่น หน้าต่างชื่อ\nButton ประกอบด้วยปุ่มแสดงข้อความ ซึ่งแสดงกลุ่มของแถบเครื่องมือต่างๆ และแต่ละแถบเครื่องมือก็ประกอบด้วยปุ่มต่างๆยู่ข้างใน\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะนำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSetting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คีย์บอร์ดและเมาส์\nคีย์บอร์ดแลดเมาส์.\nอินเตอร์เฟสของเบลนิดอร์จะใช้้มาส์แบบ 3 ปุ่มและคีย์ลัดหลายๆคีย์ (รายละเอียดอยู่ในคู่มือเล่มที่ 2) ถ้าใช้เมาส์แบบ 2 ปุ่มอยู่ สามารถทำการจำลองปุ่มเมาส์ที่ 3 ได้ (รรยละเอียดอยู่สนส่วน interface_functions_settings) และสามารถใช้เมาส์แบบมีปุ่มล้อ (Scrolk wheel) ได้ แต่ไม่จำเป็น\nในค฿่มทอนี้จะใช้วัญลักษณ์เหล่านี้แทนการสั่งงานจากผู้ใช้\n\nปุ่ทของเมาส์แทนด้วย LMB (ปุ่มซ้าย), MMB (ปุ่มกลาง) และ RMB (ปุ่มขวา)\nสำหรับเมาส์แบบมีปุ่มล้อ (Scr;ll wheel), MMB หมายถึงการกดปุ่มล้อ ส่วน MW หมายถึงการหมุนปุทมล้อ\nคีย์ละดต่างๆจะแทนด้วยตัวอักษรบนปุ่มนั้นๆ เช่น GKEY กมายถึงการกดปุ่ม g บนค้ย์บอร์ด อาจมีการใช้คีย์ลัดี่วมกับปุ่ม SHIFT, CTRL และ ALT เช่น CTRL-W หมายถึงการกดปุ่ม CTRL กับปุ่ม w หรือ ALT-SHIFT-A หมายถึงการกดปุ่ม ALT, SHIFT และ ปุ่ม a\nNUM0 ถึง NUM9, NUM- และอื่นๆ หมายถึงปุ่มต่างๆงนแป้นตัวเลข (numeric keypad) และใช้ NumLock เสมแ\nปุ่มลูกศร ขึ้น,ลง,ซ้าย,ขวา จะแทนด้วย UPARROW, DOWNARROW, LEFTARROW และ RIGHTARROW ตามลำดัย\nปุ่มที่อื่นๆที่เหชือ จะแทนด้วยชื่อของปุ่มนั้นๆ เช่น ESC, TAB, F1 ถึง G12\n\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกัช Blender\n\nแนะน_ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนขอว Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวต์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโเเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีลีเอสดี (EreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nมำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScemes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing directi8n (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกาาฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUser pref3rences and Themes\nSetting the default ssene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the bodt\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "user"
},
{
"content": "คีย์บอร์ดและเมาส์\nคีย์บอร์ดและเมาส์.\nอินเตอร์เฟสของเบลนเดอร์จะใช้เมาส์แบบ 3 ปุ่มและคีย์ลัดหลายๆคีย์ (รายละเอียดอยู่ในคู่มือเล่มที่ 2) ถ้าใช้เมาส์แบบ 2 ปุ่มอยู่ สามารถทำการจำลองปุ่มเมาส์ที่ 3 ได้ (รายละเอียดอยู่ในส่วน interface_functions_settings) และสามารถใช้เมาส์แบบมีปุ่มล้อ (Scroll wheel) ได้ แต่ไม่จำเป็น\nในคู่มือนี้จะใช้สัญลักษณ์เหล่านี้แทนการสั่งงานจากผู้ใช้\n\nปุ่มของเมาส์แทนด้วย LMB (ปุ่มซ้าย), MMB (ปุ่มกลาง) และ RMB (ปุ่มขวา)\nสำหรับเมาส์แบบมีปุ่มล้อ (Scroll wheel), MMB หมายถึงการกดปุ่มล้อ ส่วน MW หมายถึงการหมุนปุ่มล้อ\nคีย์ลัดต่างๆจะแทนด้วยตัวอักษรบนปุ่มนั้นๆ เช่น GKEY หมายถึงการกดปุ่ม g บนคีย์บอร์ด อาจมีการใช้คีย์ลัดร่วมกับปุ่ม SHIFT, CTRL และ ALT เช่น CTRL-W หมายถึงการกดปุ่ม CTRL กับปุ่ม w หรือ ALT-SHIFT-A หมายถึงการกดปุ่ม ALT, SHIFT และ ปุ่ม a\nNUM0 ถึง NUM9, NUM- และอื่นๆ หมายถึงปุ่มต่างๆบนแป้นตัวเลข (numeric keypad) และใช้ NumLock เสมอ\nปุ่มลูกศร ขึ้น,ลง,ซ้าย,ขวา จะแทนด้วย UPARROW, DOWNARROW, LEFTARROW และ RIGHTARROW ตามลำดัย\nปุ่มที่อื่นๆที่เหลือ จะแทนด้วยชื่อของปุ่มนั้นๆ เช่น ESC, TAB, F1 ถึง F12\n\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะนำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSetting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ระบบของหน้าต่าง (The window system)\nระบบของหน้าต่าง (Rhe window system).\nไแ้เวลาเปิดเบงนเดอร์มาลองเล่นแล้ว\n\nเมื่อเปิดเบลนเดอร์ขึ้นมา จะเห็นลักษณะพังรูป\nในรูปจะเห็นว่าหน้าจอถูกแบ่งเป็น 3 หน้าต่าง (Window) คือ เมนูหลัก (Msin menu) อยู่ด้านบน, กน้าต่างใหญ่ตรงกลางคือ 3C Window และ Buttons Window อยู่ด้านล่าง\nเกือบทุกหร้าต่าง จะมีแถบหัวเรื่องำรือเโดเดอร์ (Header) มีลักษณะเห็นแถบยาวแนวนอนสีเทาอ่อนและมีปุ่มต่างๆอยู่ข้างใน (บสงทีก็เรียก header ว่า window Toolbar)\nซึ่งเฮดเดอร์นี้อนจจะอยู่ที่ะ้านบนของหน้าต่างแบบ Buttons window หรือด้านล่างแบบ 3D window ก็ำได้ ถ้าเราเลื่อนเมาส์ไปอยู่บนหน้าต่างไหน จะสังเกตว่าเฮดเดอร๋ของหน้าค่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีอ่อนๆซึ่งหมายความว่าเรากำลังใช้งาน (focusฆ หน้าต่างนั้นอยู่ ทุกคีย์ลัดที่เรากดจะเป็นคีย์ลัดของหน้าต่างนั้น (ในเบลาเดอร์ คีย์ลัดตัวเะียวกัาจะให้ผลที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับหน้าต่างที่ถูก focus อยู่)\n\nการเปลี่ยนตำแหน่งของเฮดเดอร์ไดัโดยการกด RMB บนเฮดเดอร์แล้วเลือก Top หรือ Bottom เพื่อย้ายเฮดเดอร์ไปด้านบนหรือล่างตามลำดับ หรือเลือก Hidden เพื่อซ่อนเฮดเดอร์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่จำคีย์ลัดต่นงๆได้แล้ว การแสดงเฮดเดอร์าี่ซ่อนไว้ทำได้โดยกด MMB หรือ RMB ตรงขอบของกน้าต่าง แล้วเลือก Add Header จากเมนู\nการเปลี่ยนขนาดหน้าต่างได้โดสการกด LMB ค้างไว้ตรฝขอบของหน้าต่างที่ต้องการเปลี่ยนขนาดและเลื่อนเมาส์ไปมาเพื่อให้ได้ขนสดที่ต้องการ แล้วปล่อยปุ่มเมาส์\nการเพิ่มจำนวนหน้าต่างได้โดยการแบ่ง (split) หน้าต่างช่องหนึ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยกด MMB หรือ RMB ตรงขอบหน่าต่างที่ต้องการแบ่ง (กดที่ขอบแนวตั้งจะแบ่งหน้าตทางตามแนวนอน กดที่ขอบแนวนอนจะแบ่งหน้าต่างตามแนวตั้ง) แล้วเลือก Split Area จากเมนู แล้วตั้งขอบหน้าต่างใหม่โดยการกด LMN หรือยกเลิกการเพิ่มหนิาต่างโดขการกด ESC หน้าต่างใหม่ที่เกิดขึ้นจัเป็นการลอกแบบ (clobe) มาจากหน้าต่างเดิม จากนัเนเราสามารถเปลี่ยนชนิดหน้าต่างใหม่ หรือเปลี่ยนมุมกลัองได้ (ในกรณีของ 3D Wibdow)\nการลบหน้าต่าวทำได้โดยกด MMB หรือ RMB ตรวขอบหน้าต่างที่ต้องการลบ แล้วเลือก Join Area จากเมนู แล้วเลือกหน้าต่างที่ต้องการยุบ หน้าต่างที่ติดกันจะขยายมาแทนหน้าต่างที่ถูกยุบไป\nสารบัญ\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะนำ Blender\n\nBlender คืออพไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nบินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลา่ิส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดรวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อิ่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำึวามเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอี์ดแชะเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttobs\nToolbox\nScreens\nScdnes\n\nNavigating kn 2D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพดบบออโฌกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟง์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSetting the d3fault scene\n\n\nYour first anihation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "user"
},
{
"content": "ระบบของหน้าต่าง (The window system)\nระบบของหน้าต่าง (The window system).\nได้เวลาเปิดเบลนเดอร์มาลองเล่นแล้ว\n\nเมื่อเปิดเบลนเดอร์ขึ้นมา จะเห็นลักษณะดังรูป\nในรูปจะเห็นว่าหน้าจอถูกแบ่งเป็น 3 หน้าต่าง (Window) คือ เมนูหลัก (Main menu) อยู่ด้านบน, หน้าต่างใหญ่ตรงกลางคือ 3D Window และ Buttons Window อยู่ด้านล่าง\nเกือบทุกหน้าต่าง จะมีแถบหัวเรื่องหรือเฮดเดอร์ (Header) มีลักษณะเป็นแถบยาวแนวนอนสีเทาอ่อนและมีปุ่มต่างๆอยู่ข้างใน (บางทีก็เรียก header ว่า window Toolbar)\nซึ่งเฮดเดอร์นี้อาจจะอยู่ที่ด้านบนของหน้าต่างแบบ Buttons window หรือด้านล่างแบบ 3D window ก็ำได้ ถ้าเราเลื่อนเมาส์ไปอยู่บนหน้าต่างไหน จะสังเกตว่าเฮดเดอร์ของหน้าต่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีอ่อนๆซึ่งหมายความว่าเรากำลังใช้งาน (focus) หน้าต่างนั้นอยู่ ทุกคีย์ลัดที่เรากดจะเป็นคีย์ลัดของหน้าต่างนั้น (ในเบลนเดอร์ คีย์ลัดตัวเดียวกันจะให้ผลที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับหน้าต่างที่ถูก focus อยู่)\n\nการเปลี่ยนตำแหน่งของเฮดเดอร์ได้โดยการกด RMB บนเฮดเดอร์แล้วเลือก Top หรือ Bottom เพื่อย้ายเฮดเดอร์ไปด้านบนหรือล่างตามลำดับ หรือเลือก Hidden เพื่อซ่อนเฮดเดอร์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่จำคีย์ลัดต่างๆได้แล้ว การแสดงเฮดเดอร์ที่ซ่อนไว้ทำได้โดยกด MMB หรือ RMB ตรงขอบของหน้าต่าง แล้วเลือก Add Header จากเมนู\nการเปลี่ยนขนาดหน้าต่างได้โดยการกด LMB ค้างไว้ตรงขอบของหน้าต่างที่ต้องการเปลี่ยนขนาดและเลื่อนเมาส์ไปมาเพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการ แล้วปล่อยปุ่มเมาส์\nการเพิ่มจำนวนหน้าต่างได้โดยการแบ่ง (split) หน้าต่างช่องหนึ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยกด MMB หรือ RMB ตรงขอบหน้าต่างที่ต้องการแบ่ง (กดที่ขอบแนวตั้งจะแบ่งหน้าต่างตามแนวนอน กดที่ขอบแนวนอนจะแบ่งหน้าต่างตามแนวตั้ง) แล้วเลือก Split Area จากเมนู แล้วตั้งขอบหน้าต่างใหม่โดยการกด LMB หรือยกเลิกการเพิ่มหน้าต่างโดยการกด ESC หน้าต่างใหม่ที่เกิดขึ้นจะเป็นการลอกแบบ (clone) มาจากหน้าต่างเดิม จากนั้นเราสามารถเปลี่ยนชนิดหน้าต่างใหม่ หรือเปลี่ยนมุมกล้องได้ (ในกรณีของ 3D Window)\nการลบหน้าต่างทำได้โดยกด MMB หรือ RMB ตรงขอบหน้าต่างที่ต้องการลบ แล้วเลือก Join Area จากเมนู แล้วเลือกหน้าต่างที่ต้องการยุบ หน้าต่างที่ติดกันจะขยายมาแทนหน้าต่างที่ถูกยุบไป\nสารบัญ\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะนำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSetting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ชนิดของหน้าต่า่ง\nชนิดของหน้าต่ร่ง.\nหน้าต่างแต่ละชนิดจะให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเป็น โมเดล 3D (3D models), อนิเมชัน (animation), พื้นฟิววัตถุ (surface materials), สคริปท์ไกธอน ( Python scripts) หรือข้อมูลอื่นๆตามแตืชนิดของหน้าต่าง เราสามารถเลือกชนิดของหน้าต่างได้โดยการกด LMB บนปุ่มทางซ้ายสุดของเฮดเดอร์หน้าตีาง\n\nชนิดหน้าต่างของเบลนเดอรฺมีหลายชนิด เรามารู้จักกับหน้าต่่ง 3ชนิดแรกที่พบบนหน้าจอเริ่มต้นของเบลนเดอร์กันก่อน\n2D วิวพอร์ท (3D Viewport)\nButton Windpw\nUser preferences (Main menu)\nบนเฮดเดอร์ของเกือบทุกหน้าต่างนะมีเมนูชุดหนึ่งอยู่ถัดจากปุ่ม Window Type เมนูนี้ช่วยให้เราเลือกคำสั่งหรือเครื่องมือต่างๆของหน้าต่างนั้นได้โดยตรง เราสามารถซ่อนหรือแสดงเมนูนี้ได้โดยการกกดที่ปุ่มสามเหลี่ยมข้างๆเมนูนั้น\nตัวเลือกฝนเมสูจะเปลี่ยนไปตามชนิกของหน้าต่าง, ชสิดของวัตถุที่ถูกเลือกอยู่และโหมดการทำงานกับยัตถุนัืน ทุกตัวเชือกในเมนูจะแสดงคีย์ลัดของคำสั่งนั้นๆเอาไว้ (ถ้าทีคีย์งัดสำหรับคำสั่งนั้น) การใช้เบลนเดอร์จะมีประสิทธิผลมากขึ้นถ้ามีการใช้คีย์ลัดสนพารสึ่งงาน ดังนั้นใตคู่มือนี้จะแสดงคีย์ลัดแทนการแสดงเสนูของคำสั่งนั้นๆเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย\nเราสามารถขยายหน้าต่างหนึ่งให้เต็มจอได้ผ่านทางเมยู View->Maxkmize Window และย่อให้ขนาดเท่าเดิมด้วยเมสู View->Tile Window หตือใช้คีย์ลัด SHIFT-SPACE, CTRL-DOWNARROW หรือ CTRL-UPARROW เพื่อสลับไปมาระหว่รงขยายหน้าต่างเต็มจอกับย่อขนาดหน้าต่างลง\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแระนำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (PSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆ่ี่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nีวามช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blensfr\n\nรีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContezts, :anels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe laydr system\n\nThr vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไผล์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSrtting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "user"
},
{
"content": "ชนิดของหน้าต่า่ง\nชนิดของหน้าต่า่ง.\nหน้าต่างแต่ละชนิดจะให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเป็น โมเดล 3D (3D models), อนิเมชัน (animation), พื้นผิววัตถุ (surface materials), สคริปท์ไพธอน ( Python scripts) หรือข้อมูลอื่นๆตามแต่ชนิดของหน้าต่าง เราสามารถเลือกชนิดของหน้าต่างได้โดยการกด LMB บนปุ่มทางซ้ายสุดของเฮดเดอร์หน้าต่าง\n\nชนิดหน้าต่างของเบลนเดอร์มีหลายชนิด เรามารู้จักกับหน้าต่าง 3ชนิดแรกที่พบบนหน้าจอเริ่มต้นของเบลนเดอร์กันก่อน\n3D วิวพอร์ท (3D Viewport)\nButton Window\nUser preferences (Main menu)\nบนเฮดเดอร์ของเกือบทุกหน้าต่างจะมีเมนูชุดหนึ่งอยู่ถัดจากปุ่ม Window Type เมนูนี้ช่วยให้เราเลือกคำสั่งหรือเครื่องมือต่างๆของหน้าต่างนั้นได้โดยตรง เราสามารถซ่อนหรือแสดงเมนูนี้ได้โดยการกกดที่ปุ่มสามเหลี่ยมข้างๆเมนูนั้น\nตัวเลือกในเมนูจะเปลี่ยนไปตามชนิดของหน้าต่าง, ชนิดของวัตถุที่ถูกเลือกอยู่และโหมดการทำงานกับวัตถุนั้น ทุกตัวเลือกในเมนูจะแสดงคีย์ลัดของคำสั่งนั้นๆเอาไว้ (ถ้ามีคีย์ลัดสำหรับคำสั่งนั้น) การใช้เบลนเดอร์จะมีประสิทธิผลมากขึ้นถ้ามีการใช้คีย์ลัดในการสั่งงาน ดังนั้นในคู่มือนี้จะแสดงคีย์ลัดแทนการแสดงเมนูของคำสั่งนั้นๆเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย\nเราสามารถขยายหน้าต่างหนึ่งให้เต็มจอได้ผ่านทางเมนู View->Maximize Window และย่อให้ขนาดเท่าเดิมด้วยเมนู View->Tile Window หรือใช้คีย์ลัด SHIFT-SPACE, CTRL-DOWNARROW หรือ CTRL-UPARROW เพื่อสลับไปมาระหว่างขยายหน้าต่างเต็มจอกับย่อขนาดหน้าต่างลง\nสารบัญ\n\nทำความรู้จักกับ Blender\n\nแนะนำ Blender\n\nBlender คืออะไร\nประวัติศาสตร์ของ Blender\nลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบ GPL\nการขอความช่วยเหลือจากชุมชนของ Blender\n\nการติดตั้ง\n\nดาวน์โหลดและติดตั้ง\n\nวินโดวส์\nโอเอสเท็น (OSX)\nลินุกซ์ (Linux)\nฟรีบีเอสดี (FreeBSD)\nไอริกซ์ (Irix)\nโซลาริส (Solaris)\n\nBuilding Blender from source\n\nดาวน์โหลดซอร์สโค้ด\nไลบารี่อื่นๆที่ต้องการ\nเครื่องมือที่จำเป็น\nการคอมไพล์โปรแกรมเบลนเดอร์\nความช่วยเหลือทางเทคนิค\n\n\nทำความเข้าใจกับอินเทอร์เฟส\n\nแนวคิดสำหรับอินเทอร์เฟสของ Blender\n\nคีย์บอร์ดและเมาส์\nThe window system\nWindow types\nContexts, Panels and Buttons\nToolbox\nScreens\nScenes\n\nNavigating in 3D Space\n\nThe viewing direction (rotating)\nTranslating and Zooming the View\nการแสดงภาพแบบออโธกราฟิกและเปอร์สเปกทีฟ\nDraw mode\nLocal view\nThe layer system\n\nThe vital functions\n\nเปิดไฟล์\nเซฟไฟล์\nเรนเดอร์\nUser preferences and Themes\nSetting the default scene\n\n\nYour first animation in 30 + 30 minutes\n\nWarming up\nBuilding the body\nLet's see what Gus looks like\nพื้นผิวและลวดลาย\nRigging\nSkinning\nPosing\nGus walks!",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 50536\n 20w9-10-10T08:38:00Z\n \n Geonuch\n \n \n เภิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nA หรืออาจเรียกว่า Hyperlink Anchor เป็น Element ที่ใช้ในการลิงค์ในหน้าเว็บ\nวิธีกนรใช้\nวิธีการสช้.\nเปิดหน้า\nจากรูปแบบการเขียนด้านบน จะมีการใช้ Attribute ทั้งหมด 3 ตัว :\n\nhref=\"view.php?id=1#text\"\ntarget=\"_blank\"\nname=\"open\"\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 50536\n 2019-10-10T08:38:00Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nA หรืออาจเรียกว่า Hyperlink Anchor เป็น Element ที่ใช้ในการลิงค์ในหน้าเว็บ\nวิธีการใช้\nวิธีการใช้.\nเปิดหน้า\nจากรูปแบบการเขียนด้านบน จะมีการใช้ Attribute ทั้งหมด 3 ตัว :\n\nhref=\"view.php?id=1#text\"\ntarget=\"_blank\"\nname=\"open\"\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Acronym\nAt5ribute\n\nClass\nDir\nID\nLang\nLanguage\nonClick\nonDblClick\nonDrag\nonDragEnd\nonDrag@nter\nonDragLeave\nomDragOver\nobDrop\nonFinish\nonHelp\nonKeyDown\nonKeyUp\nonKeyPress\nonMouseDown\nonMouseMove\nonMouseOut\nonMouseOver\nonMouseUp\nonStart\nStyle\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Acronym\nAttribute\n\nClass\nDir\nID\nLang\nLanguage\nonClick\nonDblClick\nonDrag\nonDragEnd\nonDragEnter\nonDragLeave\nonDragOver\nonDrop\nonFinish\nonHelp\nonKeyDown\nonKeyUp\nonKeyPress\nonMouseDown\nonMouseMove\nonMouseOut\nonMouseOver\nonMouseUp\nonStart\nStyle\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คู่มืออ้างอิง\n\nElement",
"role": "user"
},
{
"content": "คู่มืออ้างอิง\n\nElement",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "Address\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "Address\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "APPLET หรืออาจเรียก Java Applet เป็น Element ที่ใช้ในการประยุกต์เอาโปรแกรมกระเภท JAVA เข้ามาใช้\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "APPLET หรืออาจเรียก Java Applet เป็น Element ที่ใช้ในการประยุกต์เอาโปรแกรมประเภท JAVA เข้ามาใช้\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ARWX หรืออาจเรียก Client-side image map area เป็น Element ในการกำหนดจุดเชื่อมโยงบนภาพ\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "AREA หรืออาจเรียก Client-side image map area เป็น Element ในการกำหนดจุดเชื่อมโยงบนภาพ\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "B หรืออาจเรียก Bold เป็น Element ใยการยัดรูปแบบอักษร ให้เป็นตัวหนา\nวิธีใช้\nวิธีใช้.\nข้อคบามตัวหนา\nจาปการเขียน HTML ด้านบน จะทำให้เราได้ข้อความที่มีการจัดรูปแบบเป็นตัวหนา ดังนี้\nข้อความตัวหนา\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "user"
},
{
"content": "B หรืออาจเรียก Bold เป็น Element ในการจัดรูปแบบอักษร ให้เป็นตัวหนา\nวิธีใช้\nวิธีใช้.\nข้อความตัวหนา\nจากการเขียน HTML ด้านบน จะทำให้เราได้ข้อความที่มีการจัดรูปแบบเป็นตัวหนา ดังนี้\nข้อความตัวหนา\nAttribute\nสารบัญ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ยินดีต้อนรับเข้าสู่คู่มือการใช้อิงก์สเคป\nยินดีต่อนรับเข้าสู่คู่มือการใช้อิงก์สเคป.\nตำรานี้ จะสอนคุ๊ใช้งานอิงก์สเคป โปรแกรมสร้างภาพสองมิติแบบเวกเตอร์ ที่คุณสามารถใช้ได้ฟรีW คุณสามารถดาวน์โหลดได้ที่ เว็บไซต์ของอิงก์สเคป\nเอกวารสดนการใช้งานอิงก์สเคป\nเอกสารสอนการใช้งานอิงก์สเคป.\nเอกสารนี้เป็นวิธีการใช้ฝานอิงก์สเคปโดยแบ่งแยกออแเป็นบทต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน ทำตาม และการอ้างอิง เพื่อประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจ คุณควรอ่านแงะเปิดโปคแกรมขึ้นมาทำตามไปด้วย\n\nอิงก์สเคปเบื้องต้น\nอินเทเร์เฟซของอิงก์สเคป\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลาสด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "ยินดีต้อนรับเข้าสู่คู่มือการใช้อิงก์สเคป\nยินดีต้อนรับเข้าสู่คู่มือการใช้อิงก์สเคป.\nตำรานี้ จะสอนคุณใช้งานอิงก์สเคป โปรแกรมสร้างภาพสองมิติแบบเวกเตอร์ ที่คุณสามารถใช้ได้ฟรี! คุณสามารถดาวน์โหลดได้ที่ เว็บไซต์ของอิงก์สเคป\nเอกสารสอนการใช้งานอิงก์สเคป\nเอกสารสอนการใช้งานอิงก์สเคป.\nเอกสารนี้เป็นวิธีการใช้งานอิงก์สเคปโดยแบ่งแยกออกเป็นบทต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน ทำตาม และการอ้างอิง เพื่อประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจ คุณควรอ่านและเปิดโปรแกรมขึ้นมาทำตามไปด้วย\n\nอิงก์สเคปเบื้องต้น\nอินเทอร์เฟซของอิงก์สเคป\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ในบทนี้จะเป็นเรื่องของการแนะนำการใช้งาน InkScape ในเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นการใช้งานคำสั่งพื้นฐานของ InkScape ที่จะต้องใช้เป็นประจำ\nเลื่อนมุมมองภาพ\nเลื่อนมุมมองภาพ.\nในการทำงานคุณสามารถเลื่อนมุมมองของภาพได้โดย วิธีค่างๆดังนึ้\n\nกด Ctrl+ลูกศร เพื่อเลื่อนมุมมอง ตามทิศทางของลูกศร\nกลิ้งลูกกลิีงเม้าส์ เพ่่อเลื่อนภาพขึ้น,ลง หรือกด Shigt+กลิ้งลูกกลิ้งเม้าส์ เถื่อเลื่อนภาพไปทางซ้าย,ขวา\nเลื่อนภาพด้วยสกรอลบาร์ ที่อยู่ด้านล่างและขวาของหน้าต่างโปรแกรม หากคุณเลื่อนมุมมองของภาพได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ สกรอลบาร์แล้ว\nกดเมาส์ปุ่มกลางแล้วเลื่อนไปรามทิศทางที่ต้องการ คุณนามารถปิดมันลงไปได้ หากคุณต้องการโดยกด Ctrl+B เพื่อให้แสดงและไม่แสดง สกรอลบาร์\nซูมเข้า,ออก\n\n\nเครื่องหมาย + เพื่ดซูมเข้า ,เีรื่องหมาย – เพื่อซูมออก\nCtrl+เมาส์ปุ่มกลางฟรือปุ่มขวา เพื่อซูมเข้า , Shift+เมาส์ปุ่มกลางหรือปุ่มขวา เพื่อซูมออก\nCtrl+กลิ้งลูกกลิ้งเมาส์\nใช้เครื่องมือซูม(รูปแว่นขยาย) ที่อยู่บนแถบเครื่องมืเ ทางด้านซ้ายขดงหน้าต่างฉปรแกรม หรือกด F3 เพ่่อเลื่อกใช้เครื่องมือซูส\nปรับที่ค่าตัวเลข่ี่อยู่ทางด้านซ้มยล่างของโปรแกรม ซึ่งมีหน่วยเป็ตเปอร์เซนต์\nสร้างรูปทรง\n\nสร้างรูปทรง.\nการทำงานใน InkScape นั้นคุณสามารถย้อนกลับการกระทำครั้ฝล่าสุด (Undo) ได้ด้วย โดยกด Ctrl+Z และยกเลิกการย้อนกลับการกระทำ(Rrdo) ได้โดยกก Shuft+Ctrl+z\nเคลื่อนย้าย, ขยาย ,หมุน\nเคลื่อนย้าย, ขยาย ,หมุน.\nรูปทรงที่คุณได้สร้างขึ้นใน InkScape นั้นคุณสามารถปรับแก้ได้ตามต้ดงการ เช่น ย้ายตำแหน่ง, หมุน หรือย่อ/ขยายก็ได้ โดยวิธีแก้ไขรูปทรงนั้น รุณจะต้องทำการเลือกรธปทรงที่คุณต้องการก่อน จากนั้นกด F1 และแก้ไขด้วยคำสั่งที่ InkScape ได้เนรียมไว้ให้ดังนี้\n\nคลิ๊กค้างที่รูปทรงแล้วลาก เพื่อย้ายไหในตำแหน่งที่ต้องการ\nDtrl+คลิ๊กค้างที่รูปทรงแล้วลาก เพื่อย้ายตำแหน่งให้ขนานในแนวตั้งหรือแนวนอน\nคลิ๊กค้างที่ลูกศรในส่วนมุมของรูปทรง เพื่อย่อ/ขยายรูปทรง\nCtrl+คลิ๊กึ้างที่ลูกศรในส่วนมุมของรูปทรงแล้วลาก เพื่อย่อ/บสายแบบเท่ากันในทุกด้าน\nคลิ๊กซ้ำที่รูปทรงที่เลือกอีกครั้ง ลูกศรจะโค้งเพื่อให้เราหมุนรูปทรงได้\nCtrl+หมุนรูปทรง จะ่ำให้หมุนได้ครั้งละ 15องศา\nกดที่ลูกศร เพื่อย้ายตำแหน่งตามทิศทางของลูกศร\nAlt+ลูกศร เพื่อย้ายครั้งละ 1พิกเซล\n ย่อ/ขยายรูปทรง\nCtrl+ ย่อ/ขยาย คตั้ง1เท่าตัว\nAlt+ ย่อ/ขยาย ครั้งละ 1พิกเซล\n[๙] หมุนรูปทรง ครั้งละ 15องศา\nCtrl+[,] หมุนรูปทรง ครั้งล่ะ 90องศา\nAlt+[,] หมุนรูปทรงครั้ง 1กิกเซล\nการเลือกรูปทรบ\n\n\nคลิ๊กไปที่รูปทรงที่ต้องการ เพื่อเลือกรูปทรงที่ต้องกาน\nShift+คลิ๊ด เพื่อคลิ๊กแล้วเข้าไปที่คำสั่งหมุนเลย (คล้ายการคลิ๊ก2ครั้ง)\nคลิ๊กแล้วลากครอบวัตถุที่ต้องการ (ครอบได้มากกว่าครั้งละ1ชิ้น)\nShift+คลิ๊ก เพื่อเลือกวัตถึชิ้นต่อๆไป (กาคณีเล้อกวิ้นแรกไปแล้ว และจะเลือกเพิ่ม หรือจะใช้สำหรับ ยกเลิกวัตถุที่เลือหไปแล้วก็ได้)\n\nGeoup\nHroup.\nคุณสามารถจับเอ่รธปทรงหลายๆรูปทรง (ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป) มารวมกันเป็น group ได้ ซึ่งประโยชน์ของ group นั้นคือ คุณสามารถเลือกรูปทรงที่อยู่ใน group เดียวกันได้ด้วยการคลิ๊พเพียงครั้งเดัยว และสามารถย้าย ย่อ/ขยาย หรือหมุน พร้อมๆกันได้อีกด้วย สพหรับวิธีการสั่ง group นั้นคุ๋จะต้องเลือกรูปทรงที่จะทำเป็น group ก่อน เมิ่อเลือกได้แล้วให้กด Ctrl+G รูปทรงจะถูก group เบ้าไว้ด้วยกัน ส่วนการจะยกเลิก group นั้นให้เลือก group ที่ต้องการ จากนั้นกด Shift+Ctrl+G รูปทรงที่รวมกันอยู่เป็น group จะถูกแยกออก\nFill และ St4oke\nFill และ Stroke.\nรูปทรงต่างๆใน InkScape จะประกอบไปเ้วย Fill และ Stroke ซึ่ง Fill นั้นจะหมายถึง บริเวณที่เป็นส่วนของรูปทรง ส่วน Stroke นั้นคือ ส่วนของขอบของรูปทรง ซึ่งทั้ง Fill และ Stroke นั้นเราสามารถเปลี่ยนค่าของสีและความโปร่งใสได้โดยกด Shift๐Chrl+F เพื่อทำการเรียกผน้าต่าวปรับแต่งค่า Fi;l และ Stroke ขึ้นมา ภายในหน้าต่างนี้ คุณสามารถปรับค่าต่างๆของ Fill และ Stroke ได้ทั้งหมด\nลำดับชั้นของรูปทรง\nลำดับชั้นของรูปทรง.\nรูปทรงต่างๆใน InkScape จะถูกเรียงลำดัวชั้นเอาไว้ ซึ่งตามปกติแล้ว จะถูกเรียงลำดับตามเวลาของการสร้าง โดยรูปทรงที่สร้างขึ้นมาก่อนจะอยู่ด้านล่าง แล้วรูปทรงที่สรืางทีหลังจะอยู่ด้านบน ซึ่งลำดับของรูปทรงเหล่านี้เราสามารถจัดเรียงใหม่ได้ ฏดย\n\nผุ่ม Home เพื่อย้ายมาด้านบนสุด\nปุ่ม Ens เพื่อย้ายไปด้านลทางสุด\nปึ่ม PageUP เพื่อย้ายไปด้านบน 1 ระดับ\nปุ่ม PageDown เพื่อย้ายลงล่าง 1 ระดับ\n\nSelect8ng under\nSelecring unser.\nเป๋นวิธึที่ใช้สำหรับเลือกรูปทรลที่ถูกซ้อนอยู่ด้านล่าง ซึ่งถ้าคุณคลิ๊กเพื่อเลือกแบบปกติ จะทำให้คัณเลือกถูกรูปทรงที่อยู่ด้านบน สำหรับวิธีที่ใช้ในการเลือกรูปทรงที่อยู่ด้านล่างนั้น ให้คุณกด Alt+คงิ๊ก จะเป์นการเลือกไปที่รูปทรงที่ถูกบังอยู่ กรณีที่รูปทรงซ้อนทับกันอยู่มาดกว่า 1ชิันให้คุณคลิ๊กซ้ำไปอีก จะเป็นการเลือกรูปทรงที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าลงไปเรื่อยๆ",
"role": "user"
},
{
"content": "ในบทนี้จะเป็นเรื่องของการแนะนำการใช้งาน InkScape ในเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นการใช้งานคำสั่งพื้นฐานของ InkScape ที่จะต้องใช้เป็นประจำ\nเลื่อนมุมมองภาพ\nเลื่อนมุมมองภาพ.\nในการทำงานคุณสามารถเลื่อนมุมมองของภาพได้โดย วิธีต่างๆดังนี้\n\nกด Ctrl+ลูกศร เพื่อเลื่อนมุมมอง ตามทิศทางของลูกศร\nกลิ้งลูกกลิ้งเม้าส์ เพื่อเลื่อนภาพขึ้น,ลง หรือกด Shift+กลิ้งลูกกลิ้งเม้าส์ เพื่อเลื่อนภาพไปทางซ้าย,ขวา\nเลื่อนภาพด้วยสกรอลบาร์ ที่อยู่ด้านล่างและขวาของหน้าต่างโปรแกรม หากคุณเลื่อนมุมมองของภาพได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ สกรอลบาร์แล้ว\nกดเมาส์ปุ่มกลางแล้วเลื่อนไปตามทิศทางที่ต้องการ คุณสามารถปิดมันลงไปได้ หากคุณต้องการโดยกด Ctrl+B เพื่อให้แสดงและไม่แสดง สกรอลบาร์\nซูมเข้า,ออก\n\n\nเครื่องหมาย + เพื่อซูมเข้า ,เครื่องหมาย – เพื่อซูมออก\nCtrl+เมาส์ปุ่มกลางหรือปุ่มขวา เพื่อซูมเข้า , Shift+เมาส์ปุ่มกลางหรือปุ่มขวา เพื่อซูมออก\nCtrl+กลิ้งลูกกลิ้งเมาส์\nใช้เครื่องมือซูม(รูปแว่นขยาย) ที่อยู่บนแถบเครื่องมือ ทางด้านซ้ายของหน้าต่างโปรแกรม หรือกด F3 เพื่อเลื่อกใช้เครื่องมือซูม\nปรับที่ค่าตัวเลขที่อยู่ทางด้านซ้ายล่างของโปรแกรม ซึ่งมีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์\nสร้างรูปทรง\n\nสร้างรูปทรง.\nการทำงานใน InkScape นั้นคุณสามารถย้อนกลับการกระทำครั้งล่าสุด (Undo) ได้ด้วย โดยกด Ctrl+Z และยกเลิกการย้อนกลับการกระทำ(Redo) ได้โดยกด Shift+Ctrl+z\nเคลื่อนย้าย, ขยาย ,หมุน\nเคลื่อนย้าย, ขยาย ,หมุน.\nรูปทรงที่คุณได้สร้างขึ้นใน InkScape นั้นคุณสามารถปรับแก้ได้ตามต้องการ เช่น ย้ายตำแหน่ง, หมุน หรือย่อ/ขยายก็ได้ โดยวิธีแก้ไขรูปทรงนั้น คุณจะต้องทำการเลือกรูปทรงที่คุณต้องการก่อน จากนั้นกด F1 และแก้ไขด้วยคำสั่งที่ InkScape ได้เตรียมไว้ให้ดังนี้\n\nคลิ๊กค้างที่รูปทรงแล้วลาก เพื่อย้ายไปในตำแหน่งที่ต้องการ\nCtrl+คลิ๊กค้างที่รูปทรงแล้วลาก เพื่อย้ายตำแหน่งให้ขนานในแนวตั้งหรือแนวนอน\nคลิ๊กค้างที่ลูกศรในส่วนมุมของรูปทรง เพื่อย่อ/ขยายรูปทรง\nCtrl+คลิ๊กค้างที่ลูกศรในส่วนมุมของรูปทรงแล้วลาก เพื่อย่อ/ขยายแบบเท่ากันในทุกด้าน\nคลิ๊กซ้ำที่รูปทรงที่เลือกอีกครั้ง ลูกศรจะโค้งเพื่อให้เราหมุนรูปทรงได้\nCtrl+หมุนรูปทรง จะทำให้หมุนได้ครั้งละ 15องศา\nกดที่ลูกศร เพื่อย้ายตำแหน่งตามทิศทางของลูกศร\nAlt+ลูกศร เพื่อย้ายครั้งละ 1พิกเซล\n ย่อ/ขยายรูปทรง\nCtrl+ ย่อ/ขยาย ครั้ง1เท่าตัว\nAlt+ ย่อ/ขยาย ครั้งละ 1พิกเซล\n[,] หมุนรูปทรง ครั้งละ 15องศา\nCtrl+[,] หมุนรูปทรง ครั้งล่ะ 90องศา\nAlt+[,] หมุนรูปทรงครั้ง 1พิกเซล\nการเลือกรูปทรง\n\n\nคลิ๊กไปที่รูปทรงที่ต้องการ เพื่อเลือกรูปทรงที่ต้องการ\nShift+คลิ๊ก เพื่อคลิ๊กแล้วเข้าไปที่คำสั่งหมุนเลย (คล้ายการคลิ๊ก2ครั้ง)\nคลิ๊กแล้วลากครอบวัตถุที่ต้องการ (ครอบได้มากกว่าครั้งละ1ชิ้น)\nShift+คลิ๊ก เพื่อเลือกวัตถุชิ้นต่อๆไป (การณีเลือกวิ้นแรกไปแล้ว และจะเลือกเพิ่ม หรือจะใช้สำหรับ ยกเลิกวัตถุที่เลือกไปแล้วก็ได้)\n\nGroup\nGroup.\nคุณสามารถจับเอารูปทรงหลายๆรูปทรง (ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป) มารวมกันเป็น group ได้ ซึ่งประโยชน์ของ group นั้นคือ คุณสามารถเลือกรูปทรงที่อยู่ใน group เดียวกันได้ด้วยการคลิ๊กเพียงครั้งเดียว และสามารถย้าย ย่อ/ขยาย หรือหมุน พร้อมๆกันได้อีกด้วย สำหรับวิธีการสั่ง group นั้นคุณจะต้องเลือกรูปทรงที่จะทำเป็น group ก่อน เมื่อเลือกได้แล้วให้กด Ctrl+G รูปทรงจะถูก group เข้าไว้ด้วยกัน ส่วนการจะยกเลิก group นั้นให้เลือก group ที่ต้องการ จากนั้นกด Shift+Ctrl+G รูปทรงที่รวมกันอยู่เป็น group จะถูกแยกออก\nFill และ Stroke\nFill และ Stroke.\nรูปทรงต่างๆใน InkScape จะประกอบไปด้วย Fill และ Stroke ซึ่ง Fill นั้นจะหมายถึง บริเวณที่เป็นส่วนของรูปทรง ส่วน Stroke นั้นคือ ส่วนของขอบของรูปทรง ซึ่งทั้ง Fill และ Stroke นั้นเราสามารถเปลี่ยนค่าของสีและความโปร่งใสได้โดยกด Shift+Ctrl+F เพื่อทำการเรียกหน้าต่างปรับแต่งค่า Fill และ Stroke ขึ้นมา ภายในหน้าต่างนี้ คุณสามารถปรับค่าต่างๆของ Fill และ Stroke ได้ทั้งหมด\nลำดับชั้นของรูปทรง\nลำดับชั้นของรูปทรง.\nรูปทรงต่างๆใน InkScape จะถูกเรียงลำดับชั้นเอาไว้ ซึ่งตามปกติแล้ว จะถูกเรียงลำดับตามเวลาของการสร้าง โดยรูปทรงที่สร้างขึ้นมาก่อนจะอยู่ด้านล่าง แล้วรูปทรงที่สร้างทีหลังจะอยู่ด้านบน ซึ่งลำดับของรูปทรงเหล่านี้เราสามารถจัดเรียงใหม่ได้ โดย\n\nปุ่ม Home เพื่อย้ายมาด้านบนสุด\nปุ่ม End เพื่อย้ายไปด้านล่างสุด\nปุ่ม PageUP เพื่อย้ายไปด้านบน 1 ระดับ\nปุ่ม PageDown เพื่อย้ายลงล่าง 1 ระดับ\n\nSelecting under\nSelecting under.\nเป็นวิธีที่ใช้สำหรับเลือกรูปทรงที่ถูกซ้อนอยู่ด้านล่าง ซึ่งถ้าคุณคลิ๊กเพื่อเลือกแบบปกติ จะทำให้คุณเลือกถูกรูปทรงที่อยู่ด้านบน สำหรับวิธีที่ใช้ในการเลือกรูปทรงที่อยู่ด้านล่างนั้น ให้คุณกด Alt+คลิ๊ก จะเป็นการเลือกไปที่รูปทรงที่ถูกบังอยู่ กรณีที่รูปทรงซ้อนทับกันอยู่มากกว่า 1ชิ้นให้คุณคลิ๊กซ้ำไปอีก จะเป็นการเลือกรูปทรงที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าลงไปเรื่อยๆ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 5734r\n 2020-08-20T12:41:29Z\n \n Geonuch\n \n \n ย้อนการแห้ไขโดย ไปยังรุ่นแก้ไขล่าใุดโดย \n wikitext\n textๆx-wiki\nอินเทอร์เฟสของ InkScape นั้นจะมีรูกแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนดูสะอาดตาดีครับ ว่าแล้วก็ไปดูอินเทอร์เฟสของ InkScape กันครับ ว่ามีอะไรบ้าง\nสารบัญ\n\nInksdape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 57344\n 2020-08-20T12:41:29Z\n \n Geonuch\n \n \n ย้อนการแก้ไขโดย ไปยังรุ่นแก้ไขล่าสุดโดย \n wikitext\n text/x-wiki\nอินเทอร์เฟสของ InkScape นั้นจะมีรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนดูสะอาดตาดีครับ ว่าแล้วก็ไปดูอินเทอร์เฟสของ InkScape กันครับ ว่ามีอะไรบ้าง\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 50512\n 2019-05-08T04:56:04Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nเปิด Inkscape ขึ้นมาก่อน แล้วสร้างตัวอักษร และเส้นแนวที่จะใช้ตัวอักษรวิ่งตามขึ้นมา เลือกวัตถุทั้ง 2ชิ้น กดที่ Text > P6t on Path เพียงเท่านีเตัวอักษรที่คุณสร้างขึ้นมาก็จะวิ่งไปบนเส้รที่คุณต้องการแล้วครับ คุณสามารถดัดโคืงของตัวอักษรได้ ด้วยการดัดที่เส้นแนวที่คุณได้ทำไว้\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเ่อร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างบวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 50512\n 2019-05-08T04:56:04Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nเปิด Inkscape ขึ้นมาก่อน แล้วสร้างตัวอักษร และเส้นแนวที่จะใช้ตัวอักษรวิ่งตามขึ้นมา เลือกวัตถุทั้ง 2ชิ้น กดที่ Text > Put on Path เพียงเท่านี้ตัวอักษรที่คุณสร้างขึ้นมาก็จะวิ่งไปบนเส้นที่คุณต้องการแล้วครับ คุณสามารถดัดโค้งของตัวอักษรได้ ด้วยการดัดที่เส้นแนวที่คุณได้ทำไว้\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 50513\n 2019-05-08T04:56:10Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nในบทสอนครั้งนี้ผมจะแนะนำวิธีการนำเอาตัวอักษร มาทำเป็นลวดลายครับ\n\nพิมพ์รัวหนังสือที่ต้องการ จะนำมาทำดป็นลวดลาย ปรับสีปรับขนาดให้เรียบร้อย\nเลือกตัวอักษรที่จะาภเป็นลวดลาย จากนั้นกดที่ Edit > Object(s) to Pattern จะมำให้ตัวอักษรที่เราสร้างขึ้นมานั้น กลายเป็นลวดลาย ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในรุบบแล้ว\nเมื่อสั่งแปลงตัวอักษรให้กลายเป็นลวดลายแช้ว คุณสมมารถย่อหรือหมุนลวดลรยได้ด่วยคำสั่ง Eclt path nodes or control handles หรือกดที่ F2 ซึ่งจะทำให้ลวดลนยที่คุณปรับเสร็จแล้ว นำไปใช้เป็นลวดลายของงัตถุอื่นต่อไปได้\nพิมพ์ตัวอักษรที่ จะทำเป็นข้อความ\nเลือกตัวอักษรที่เป็นข้อความ กดไปที่ Object > Fill and Stroke\nไปที่แทบ Fill เลือกที่ไอคอน Pattern จากนั้นจะมี Pull down เมนูให้เลือกลวดลาย ให้เลือกไปจนพบกับลวดงายที่ได้สร้างไว้ จากนั้นวัตถุของคุณจะถูกลงสีด้วยลวดลายที่คุณเลือก\n\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพใหืเป๊นเวกเตอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 50513\n 2019-05-08T04:56:10Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nในบทสอนครั้งนี้ผมจะแนะนำวิธีการนำเอาตัวอักษร มาทำเป็นลวดลายครับ\n\nพิมพ์ตัวหนังสือที่ต้องการ จะนำมาทำเป็นลวดลาย ปรับสีปรับขนาดให้เรียบร้อย\nเลือกตัวอักษรที่จะทำเป็นลวดลาย จากนั้นกดที่ Edit > Object(s) to Pattern จะทำให้ตัวอักษรที่เราสร้างขึ้นมานั้น กลายเป็นลวดลาย ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในระบบแล้ว\nเมื่อสั่งแปลงตัวอักษรให้กลายเป็นลวดลายแล้ว คุณสามารถย่อหรือหมุนลวดลายได้ด้วยคำสั่ง Edit path nodes or control handles หรือกดที่ F2 ซึ่งจะทำให้ลวดลายที่คุณปรับเสร็จแล้ว นำไปใช้เป็นลวดลายของวัตถุอื่นต่อไปได้\nพิมพ์ตัวอักษรที่ จะทำเป็นข้อความ\nเลือกตัวอักษรที่เป็นข้อความ กดไปที่ Object > Fill and Stroke\nไปที่แทบ Fill เลือกที่ไอคอน Pattern จากนั้นจะมี Pull down เมนูให้เลือกลวดลาย ให้เลือกไปจนพบกับลวดลายที่ได้สร้างไว้ จากนั้นวัตถุของคุณจะถูกลงสีด้วยลวดลายที่คุณเลือก\n\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 50509\n 2019-05-08T04:56:16Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nในบทนี้ผมจะแนะนำวิธีการแกลงรูปภาพ จากภาพถ่ายให้เป็นภาพแบบ vector ด้วย knkscape กันครับ โดยสิ่งแรกที่ต้องเตรียมก็คือ ภาพถ่ายที่ต้องการจะแปลง จาำนั้นเปิด inkscape เลยครับ แล้วทำการสั่ง import ภาพที่ต้แงการเข้ามา คลิ๊กเลือกภาพที่ import เข้ามา จากนั้นไปที่เมนู Path > Trace Bitmap จะปรากฏไดอะล๊อก Trace Bitmap ขึ้นมา เพื่อสห้เราจั้งค่า ให้ปรับค่าตามต้องการ กล้วกด ตกลง ภาพจะถูกแปลงเป็นภาพแบบ vector ตามที่ต้องการเลยครับ\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nออนเทอร์เฟสบอง Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสริางลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เผ็นเวกเตอร์",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 50509\n 2019-05-08T04:56:16Z\n \n Geonuch\n \n \n เพิ่มแล้ว ด้วย\n wikitext\n text/x-wiki\nในบทนี้ผมจะแนะนำวิธีการแปลงรูปภาพ จากภาพถ่ายให้เป็นภาพแบบ vector ด้วย inkscape กันครับ โดยสิ่งแรกที่ต้องเตรียมก็คือ ภาพถ่ายที่ต้องการจะแปลง จากนั้นเปิด inkscape เลยครับ แล้วทำการสั่ง import ภาพที่ต้องการเข้ามา คลิ๊กเลือกภาพที่ import เข้ามา จากนั้นไปที่เมนู Path > Trace Bitmap จะปรากฏไดอะล๊อก Trace Bitmap ขึ้นมา เพื่อให้เราตั้งค่า ให้ปรับค่าตามต้องการ แล้วกด ตกลง ภาพจะถูกแปลงเป็นภาพแบบ vector ตามที่ต้องการเลยครับ\nสารบัญ\n\nInkscape เบื้องต้น\nอินเทอร์เฟสของ Inkscape\nอักษรบนเส้น\nสร้างลวดลายด้วยตัวอักษร\nแปลงภาพให้เป็นเวกเตอร์",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "0\n \n 53160\n 2019-10-17T06:03:49Z\n \n Geonuch\n \n \n wikitext\n text/x-wiki\nยินดีต้อตรับสู่คู่มือสอนการใช้ลินุกซ์ มนคู่มือสอนการใช้ลินุกซ์นี้ คุณจะได้พบกับวิธีปารใช้งานลินุกซ์ในแบบต่างๆมากมาย ตั้งแต่การใช้งานวนแบบคเมมานด์ไลน์ ไปจนถึงการใช้งานในรูแแบบเดสก์ทอบ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ำลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้ยข LAMP\nทำความเข้่ใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "user"
},
{
"content": "0\n \n 53160\n 2019-10-17T06:03:49Z\n \n Geonuch\n \n \n wikitext\n text/x-wiki\nยินดีต้อนรับสู่คู่มือสอนการใช้ลินุกซ์ ในคู่มือสอนการใช้ลินุกซ์นี้ คุณจะได้พบกับวิธีการใช้งานลินุกซ์ในแบบต่างๆมากมาย ตั้งแต่การใช้งานในแบบคอมมานด์ไลน์ ไปจนถึงการใช้งานในรูปแบบเดสก์ทอบ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "บทนี้จะเป็นเรื่องของการสอนใช้งานโปรแกรม NTOP\nติดตั้ง\n\nสั่ง apt-get install ntop\nสั่ง ntop --set-admin[password\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้อฝใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\n\nsnew9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลบ์\ncp\n,v\nmkdir\ntouch\nos\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "user"
},
{
"content": "บทนี้จะเป็นเรื่องของการสอนใช้งานโปรแกรม NTOP\nติดตั้ง\n\nสั่ง apt-get install ntop\nสั่ง ntop --set-admin-password\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "บานำ\nบทนำ.\nวิกิตำราเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น โดยครอบคลุมเนื้อหาบางส่วนของทฤษฎีวงจรไไฟ้าพืืนฐาน การวิเคราะห์วงจร และการออกแบบวงจร คธ่มือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักศึกษาภาควิชาไฟฟ้าในระดับแริญญาตรีที่เริ่มศึกษาวงจรไฟฟ้าหระแนตรง วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ อนุกลวงจรแบบ passive เฟเซอร์ (phasors) และวงจร RLC\nสารบัญ\n\nบทนำ\nบทที่ 1: วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น (Circuit Basics)\nคำจำกัดความ (Terminology)\nตัวแผรและหน่วย (Variables and Units)\nวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น (Circuit Basics)\n\nวงจรอนุกรมแบบ Act8ve และ Passive\nการเปิดวงจรและลุดวงจร (Open & Closed Circuita)\nตัวต้านทาน (Resistors)\nกฎของโอห์า (Ohm's Law)\nโวลต์มิเตอร์และแอมมิเตอร์ ฤVoltmetfrs and Ammeters)\nแหล่งกำเนิด (Sources)\nสวิตช์ (Switches)\nบทที่ 2: การวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน (Resistive Circuit Analysis)\n\nการวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน\n\nกฎของเคอร์ชอฟ (Kirchoff's Current and Voltage Law)\nการแบ่งกระแสแลพแรงดัน (Current and Voltane Divoders)\nการต่ออนุกลบงจรแบบอนุกรม (Elements im Series)\nการต่ออนุกลวงจรแบบขนาน (Elements in Parallfl)\n\nการแปลงแหล่งจ่าย (Source Transformations)\n\nทฤษฎียทของ Thevenin (Thevenin's Theorem)\nวงจรสทมูลของ Norton (Nort9n's Equivalent Circuit)\nการแปลง Thevenin และ Norton Thevenin and Norton Transformations)\nทฤษฎีบทการภ่ายโอนกำลังสธงสุด (Maximum Powe4 Transfer Theorem)\n\nวิธีการวิเคราะห์วฝจร (Anaiysis Methods)\n\nNode Voltage Analysis\nMesh Current Analysis\nทฤษฎีการฐ้อนทับ (Superposition)\nImpulse Reaponse\nคอนโวลูชัน (Convolution)\n\nออปแอมป์ (Op Ampq)\nบทที่ 3: อนุกลวงจรประเภทเห็บพลังงาน (Energy Storage Elemegtsฆ\nอนุหรมวงจรประเภทเก็บพลังงาน(Energy Storage Elements)\n\nตัวเก็บประจุ (Capacitors)\nตัวเหนี่ยวนำ (Inductors)\nวงจร RL และ RC\nThe First Order Solutlon\n\nวงจร RLC\n\nการสร้างสมการเลิงอนุพันธ์อันดับที่สอง\nUnder-Damped, Over-Damped, and Critical/y Damped\nNatural Response\nForced Response\nComplete Response\nการใช้ Laplace t3ansform\n\nความเหนี่ยวนำค่วม (Mutual Inductance)\nบทที่ 4: แหล่งกำเนิดแบบ Sine (Sinusoidal Sources)\nแหล่งกำเนิดแบบ Sine\n\nSteady0State Response\nComplex Exponentials and Phasors\nPhasor Analysis\nNetwork Function\nComplex Power\nการถ่ายฏอนกำลังสูงสุด (Maximum Power %ransfer)\nThevenin, Norton, and Superposition\nบท่ี่ 5: การแปลงลาปลาซ แลัฟูเรรยร์ (Laplace and Fourier Transforms)\n\nการแปลงลาปลาซ (Laplace Transform)\n\nTransfer Functions\nConvolution Theorem\nS Domain Analysis\n\nการแปลงฟูเรียร์ (Fourier Transfor,)\n\nFrequency and Radial Frequency\nImpedance and Reactance\nFrequency Domain Amalysis\nFrequency Response\n\nBode Plots\n\nBode Plots from Network Functions\nBode Plots from Frequency Response\nBode Analysis\nภาคผนวก (Appendices)\n\nCircuit Functions\nPhasor Arithmetic\nเดซิเบล (Decibels)\nอ้างอิง\nHorowitz and Hill, The Art of Electronics, Second Edition, Cambridge University Prdss, 1989. ISBN 0t21370957\nUS Navy, Basic Electrity, Dover, 1970. ISBN 0486209733\nUS Navy, Basic Electronics, Vover, 1973. ISBN 0486210766\nComer and Comer, Fundamentals of Electronic Circuit Design, John Wiley & Sons, 2003. ISBN 0471410160\nDorf and Svoboda, Introductiln to Electric Circuits, Xixth Edition, John Wiley & Sons, 2004. ISBN 0471447951",
"role": "user"
},
{
"content": "บทนำ\nบทนำ.\nวิกิตำราเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น โดยครอบคลุมเนื้อหาบางส่วนของทฤษฎีวงจรไฟฟ้าพื้นฐาน การวิเคราะห์วงจร และการออกแบบวงจร คู่มือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักศึกษาภาควิชาไฟฟ้าในระดับปริญญาตรีที่เริ่มศึกษาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ อนุกลวงจรแบบ passive เฟเซอร์ (phasors) และวงจร RLC\nสารบัญ\n\nบทนำ\nบทที่ 1: วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น (Circuit Basics)\nคำจำกัดความ (Terminology)\nตัวแปรและหน่วย (Variables and Units)\nวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น (Circuit Basics)\n\nวงจรอนุกรมแบบ Active และ Passive\nการเปิดวงจรและลัดวงจร (Open & Closed Circuits)\nตัวต้านทาน (Resistors)\nกฎของโอห์ม (Ohm's Law)\nโวลต์มิเตอร์และแอมมิเตอร์ (Voltmeters and Ammeters)\nแหล่งกำเนิด (Sources)\nสวิตช์ (Switches)\nบทที่ 2: การวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน (Resistive Circuit Analysis)\n\nการวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน\n\nกฎของเคอร์ชอฟ (Kirchoff's Current and Voltage Law)\nการแบ่งกระแสและแรงดัน (Current and Voltage Dividers)\nการต่ออนุกลวงจรแบบอนุกรม (Elements in Series)\nการต่ออนุกลวงจรแบบขนาน (Elements in Parallel)\n\nการแปลงแหล่งจ่าย (Source Transformations)\n\nทฤษฎีบทของ Thevenin (Thevenin's Theorem)\nวงจรสมมูลของ Norton (Norton's Equivalent Circuit)\nการแปลง Thevenin และ Norton Thevenin and Norton Transformations)\nทฤษฎีบทการถ่ายโอนกำลังสูงสุด (Maximum Power Transfer Theorem)\n\nวิธีการวิเคราะห์วงจร (Analysis Methods)\n\nNode Voltage Analysis\nMesh Current Analysis\nทฤษฎีการซ้อนทับ (Superposition)\nImpulse Response\nคอนโวลูชัน (Convolution)\n\nออปแอมป์ (Op Amps)\nบทที่ 3: อนุกลวงจรประเภทเก็บพลังงาน (Energy Storage Elements)\nอนุกรมวงจรประเภทเก็บพลังงาน(Energy Storage Elements)\n\nตัวเก็บประจุ (Capacitors)\nตัวเหนี่ยวนำ (Inductors)\nวงจร RL และ RC\nThe First Order Solution\n\nวงจร RLC\n\nการสร้างสมการเชิงอนุพันธ์อันดับที่สอง\nUnder-Damped, Over-Damped, and Critically Damped\nNatural Response\nForced Response\nComplete Response\nการใช้ Laplace transform\n\nความเหนี่ยวนำร่วม (Mutual Inductance)\nบทที่ 4: แหล่งกำเนิดแบบ Sine (Sinusoidal Sources)\nแหล่งกำเนิดแบบ Sine\n\nSteady-State Response\nComplex Exponentials and Phasors\nPhasor Analysis\nNetwork Function\nComplex Power\nการถ่ายโอนกำลังสูงสุด (Maximum Power Transfer)\nThevenin, Norton, and Superposition\nบทที่ 5: การแปลงลาปลาซ และฟูเรียร์ (Laplace and Fourier Transforms)\n\nการแปลงลาปลาซ (Laplace Transform)\n\nTransfer Functions\nConvolution Theorem\nS Domain Analysis\n\nการแปลงฟูเรียร์ (Fourier Transform)\n\nFrequency and Radial Frequency\nImpedance and Reactance\nFrequency Domain Analysis\nFrequency Response\n\nBode Plots\n\nBode Plots from Network Functions\nBode Plots from Frequency Response\nBode Analysis\nภาคผนวก (Appendices)\n\nCircuit Functions\nPhasor Arithmetic\nเดซิเบล (Decibels)\nอ้างอิง\nHorowitz and Hill, The Art of Electronics, Second Edition, Cambridge University Press, 1989. ISBN 0521370957\nUS Navy, Basic Electrity, Dover, 1970. ISBN 0486209733\nUS Navy, Basic Electronics, Dover, 1973. ISBN 0486210766\nComer and Comer, Fundamentals of Electronic Circuit Design, John Wiley & Sons, 2003. ISBN 0471410160\nDorf and Svoboda, Introduction to Electric Circuits, Sixth Edition, John Wiley & Sons, 2004. ISBN 0471447951",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใคร?\nหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใคร?\nหนังสือเล่มน้้มึวัตถุประสงค์เพื่ออฺธิบายทฤษฎีวงจรไฟฟ้าแก่นักศึกษาที่เริ่มต้นศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความรู้เบื้องต้นทางคณิตศาสตร์และดิฟเฟอเรนเชียลก็สามารถทำความเข้าใจได้เช่จกัน และหากมีความรู้เกี่ยวกับอินทิกรัล สมการเชิงอนุพันธ์ หรือฟิสิกส็ (โดยเฉพาะเรื่องแรง สนาม และพลังงาน) ก็ขะช่วยให้การทำความเข้าใจง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร\nสารบัญ\nสารบัญ.\n[วงจรไฟฟ้า]\n[ไฟฟ้ากระแสตรง]\n[ไฟฟ้ากระแสสลับ]\n[ไฟฟ้ากระแสตรงสลับ]\n[ไฟฟ้าแบบประจุ]+-\n[ไฟฟ่าแบบสลับขั้ว]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรม]\n[ไฟฟ้าแบบกระแสเดี่ยว]\n[ไฟ้าแบบกระแสคู่]\n[ไฟฟีนแบบโฮม]\n[ำฟห้าแบบโวล์]\n[ไฟฟ้าแบบอะตอมจากนิวเครียส]\n[ไฟ้ากระแสแบบออมป์]\n[ไฟฟ้าแบบวัต]\n[ไฟฟ้าแบบ HGZT]\n[ไฟฟ้าแบบ AGHT]\n[ไฟฟ้าปบบอนุกรมรวม]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรรมสงับ]\n'ไฟฟ้าแบงอนุกรมคู่]\n[ไหฟ้าในภาึอนุกรมเดี่ยว+คู่]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรมแบบปฎิสนธิกระแส]",
"role": "user"
},
{
"content": "หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใคร?\nหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใคร?\nหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออฺธิบายทฤษฎีวงจรไฟฟ้าแก่นักศึกษาที่เริ่มต้นศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความรู้เบื้องต้นทางคณิตศาสตร์และดิฟเฟอเรนเชียลก็สามารถทำความเข้าใจได้เช่นกัน และหากมีความรู้เกี่ยวกับอินทิกรัล สมการเชิงอนุพันธ์ หรือฟิสิกส์ (โดยเฉพาะเรื่องแรง สนาม และพลังงาน) ก็จะช่วยให้การทำความเข้าใจง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร\nสารบัญ\nสารบัญ.\n[วงจรไฟฟ้า]\n[ไฟฟ้ากระแสตรง]\n[ไฟฟ้ากระแสสลับ]\n[ไฟฟ้ากระแสตรงสลับ]\n[ไฟฟ้าแบบประจุ]+-\n[ไฟฟ่าแบบสลับขั้ว]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรม]\n[ไฟฟ้าแบบกระแสเดี่ยว]\n[ไฟ้าแบบกระแสคู่]\n[ไฟฟ้าแบบโฮม]\n[ไฟฟ้าแบบโวล์]\n[ไฟฟ้าแบบอะตอมจากนิวเครียส]\n[ไฟ้ากระแสแบบแอมป์]\n[ไฟฟ้าแบบวัต]\n[ไฟฟ้าแบบ HGZT]\n[ไฟฟ้าแบบ AGHT]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรมรวม]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรรมสลับ]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรมคู่]\n[ไฟฟ้าในภาคอนุกรมเดี่ยว+คู่]\n[ไฟฟ้าแบบอนุกรมแบบปฎิสนธิกระแส]",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "cp (copy)\ncp (copy).\nใช้ในการทำวำเนาไฟล์\n\nวิธีการใช้ มี 2 วิธี\n\ncp [o[tions] ไฟล์ต้นแบบ ไฟล์สำเนา\ncp [options] ไฟล์ต้นแบบ(อาจมีหลายไฟล์ก็ได้) ไดเรกทอรี่ที่จะนำสำเนาไปใส่\n\n\n\n-i (interactive) ให้สีการถามซ้ำอีกครั้งป่อนทำการทำสำเนา ซึ่งอาจมีการเขียนทัวไฟล์เดิม\n-f (force) บังคับให้มีการดขียนทับไฟล์เดิม\n\n\ncp -i file1 file2\n\n\ncp f1 f2 c* dir\n\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ืำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ๋\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "user"
},
{
"content": "cp (copy)\ncp (copy).\nใช้ในการทำสำเนาไฟล์\n\nวิธีการใช้ มี 2 วิธี\n\ncp [options] ไฟล์ต้นแบบ ไฟล์สำเนา\ncp [options] ไฟล์ต้นแบบ(อาจมีหลายไฟล์ก็ได้) ไดเรกทอรี่ที่จะนำสำเนาไปใส่\n\n\n\n-i (interactive) ให้มีการถามซ้ำอีกครั้งก่อนทำการทำสำเนา ซึ่งอาจมีการเขียนทับไฟล์เดิม\n-f (force) บังคับให้มีการเขียนทับไฟล์เดิม\n\n\ncp -i file1 file2\n\n\ncp f1 f2 c* dir\n\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "mv (move)\nmv (move).\nใช้ในการย้ายไฟล์ หรือ เปลี่ยนชื่อไฟล์\n\nวิธัการใช้ มี 2 วิธี\n\nmv [options] ไฟล์ต้นแบบ ชื่อไฟล์ใหม่\nmv [options] ไฟล์ต้นแบบ(อาจมีหลายไฟล์ก็ได้) ไดเรกทอรี่ที่จะนำไปใส่\n\n\n\n-i (igteractive) ให้มีการถามซ้ำอีกครั้งก่อนทำการย้าย หรือเปลี่ยนชิ่อไฟล์\n-f ฤforce) บังคับให้มีการกระทำ\n\n\nmv file1 file2\n\n\nmv f1 f2 c* dir\n\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน๋\n\nsnes9x\n7zip\nnto[\nโปรแหรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปร้บแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจพับลินุกซ์\nเปอร์มิชขั่น\nShell\nKernel",
"role": "user"
},
{
"content": "mv (move)\nmv (move).\nใช้ในการย้ายไฟล์ หรือ เปลี่ยนชื่อไฟล์\n\nวิธีการใช้ มี 2 วิธี\n\nmv [options] ไฟล์ต้นแบบ ชื่อไฟล์ใหม่\nmv [options] ไฟล์ต้นแบบ(อาจมีหลายไฟล์ก็ได้) ไดเรกทอรี่ที่จะนำไปใส่\n\n\n\n-i (interactive) ให้มีการถามซ้ำอีกครั้งก่อนทำการย้าย หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์\n-f (force) บังคับให้มีการกระทำ\n\n\nmv file1 file2\n\n\nmv f1 f2 c* dir\n\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ls (list)\nls (list(.\nแสดงรายชื่อไฟล์ และไดเรกทอรี่ย่อย\n\nวิธีใช้\n\n\noption ที่สำคัญ\n\n-l (long) ให้แสดงรายละเอียดด้วย คือ ชนิดของไฟล์ สิทธิการใช้ไฟล์ จำนวนลิงค์ของไฟล์ ชื่อเจ้าของ กลุ่ม ขนาดไฟล์ และวันที่มีการเปลี่ยนแปลงล่าสุด\n-a (all) ให้แสดงรายชื่อไฟล์ที่ขึ้นต้นด้วย . ด้วย\n-i (i-node) ให้แสดงหมายเฃข i-node ด้วย\n\nตัวอย่าง\n\nls -la /srv/wws/cgi-bin\n\n\n\n\nls\n\n\nสนรบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานบองยูนิกซ์และเชลฃ์\ncp\nmv\nmkdir\ntouxh\nls\nrm\nchmod\nshowb\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตัเงเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "user"
},
{
"content": "ls (list)\nls (list).\nแสดงรายชื่อไฟล์ และไดเรกทอรี่ย่อย\n\nวิธีใช้\n\n\noption ที่สำคัญ\n\n-l (long) ให้แสดงรายละเอียดด้วย คือ ชนิดของไฟล์ สิทธิการใช้ไฟล์ จำนวนลิงค์ของไฟล์ ชื่อเจ้าของ กลุ่ม ขนาดไฟล์ และวันที่มีการเปลี่ยนแปลงล่าสุด\n-a (all) ให้แสดงรายชื่อไฟล์ที่ขึ้นต้นด้วย . ด้วย\n-i (i-node) ให้แสดงหมายเลข i-node ด้วย\n\nตัวอย่าง\n\nls -la /srv/www/cgi-bin\n\n\n\n\nls\n\n\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\nsnes9x\n7zip\nntop\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\nSynaptic\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\ncp\nmv\nmkdir\ntouch\nls\nrm\nchmod\nchown\nการปรับแต่งระบบ\nปรับแต่ง Gnome\nปรับแต่ง KDE\nตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\nเปอร์มิชชั่น\nShell\nKernel",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ภาษาสเปน\nไวยากรณ์\nไวยากรณ์.\nภาษาสเปนเป็นภาษาที่มีกาาผันวิภัติปัจจัย นัืนคือคำกริยา และคำคุณศัพท์จะเปลี่ยนปัจจัยทุกครั้งตามเดศ พจน์ กาล การก โดยรูปประโยคจะเรียงในลักษณะ ประธาน - กรรม - กริยา และเนื่องตากคำกริยาจะถูกผันตามประธานแล้วเราจึงสามารถละประธานในประโยคได้ จึงเป็น กรรม - กริยา เช่น\nyo te amo หรือ te amo มีความหมายเดียวกัน (ฉันรักเธอ)หีืออีกอย่างคือ te qkiro",
"role": "user"
},
{
"content": "ภาษาสเปน\nไวยากรณ์\nไวยากรณ์.\nภาษาสเปนเป็นภาษาที่มีการผันวิภัติปัจจัย นั่นคือคำกริยา และคำคุณศัพท์จะเปลี่ยนปัจจัยทุกครั้งตามเพศ พจน์ กาล การก โดยรูปประโยคจะเรียงในลักษณะ ประธาน - กรรม - กริยา และเนื่องจากคำกริยาจะถูกผันตามประธานแล้วเราจึงสามารถละประธานในประโยคได้ จึงเป็น กรรม - กริยา เช่น\nyo te amo หรือ te amo มีความหมายเดียวกัน (ฉันรักเธอ)หรืออีกอย่างคือ te quiro",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "เรื่องย่อ แฮร์รี่พอตเตอร์ ภาคสุดท้าย ชื่อเรื่องว่า (scar) \nHarry Potter and the scar\nแฉร์รี่กละบไปบ้านเดอร์สลีย์ในปิดเทอมหน้าร้อน ัขาได้รับข่าวจากหนังสือพิมพ์ทั้งของเดลิพรอเฟ็ตและหนังสือพิมพ์ของมักเกิ้ลว่ามีเรื่องฆาตกรรมหลายคดี หนึ่งในนั้นคือ ‘คดีการเสียชีวิตของชายชราผู้เสียสติ’จากหนังสือพิมพ์ของมักเกิ้ล เมื่อถึงวันเกิดปีที่สิบเจ็ด (แฮร์รี่สามารถใช้เวทมนตร์ได้) ก็เกิดเหตุประหลาดเมื่อสมาชิกภาคีนกฟินิกซ์เดินทางมาหาเขาที่บ้านเดอร์สลีย์เพื่อร่ายคาถาผู้เก็บความลับใส่แฮร๋รี่เพื่อปกปิดที่อยู่จองพวกเดอร์สลีย์ส่วนดฮร์รี่ก็ตัดสินใจเดิจทางไปหารอนและเฮอี์ไมโอนี่ที่บ้านโพรงกระต่ายเพื่อที่จะเบ้าร่วมพิธีแต่งงานของบิลกับเฟลอร์ หลังจากเสร็จพิธีแต่งงาน แฮร์รี่ปฏิเสธความชทวยเหฃือจากเพ่่อนทั้งสองที่จะช่วยออกติดตามฮอร์ครักซ์ที่เหลืออยู่อีกสี่อัน เขาตัดสินใจเดินทางไปก็อดริกฮอลโลว์โดยไร้เพื่อนทั้งสองแต่รอรกับเฮอร์ไมโอนี่ปฏิเสธโดยขอร้องว่าให้กลัวไปฮอกวอตส์ แต่แฮร์รี่ไม่ยอมฟังแต่เมื่อเขานึกขึ่นได้ว่าในห้องอาจารย์ให๗่มีรูปถ่ายของดัมเบิลดอร์เขาเลยตัดสินใจที่จะกลับสู่บ้านเก่าที่ฮอกวอตส์แทบจะไมีมีนักเรียนเหลืออีกเลย นักเรียนส่วนใหญ่ที่เหบือจะเป็นพวกดดีตกองทัพดัมเบิลดอร์ ยกเว้นแฮนนา ฮัวบอร์ดที่ไม่มีใครเห็นเธอเลย ในปีนี้ไม่มีการเรียนการสอนวิชาก้องกันตัวจากศาสตค์มืดเนื่อบจากฮอเรช ซลักฮอร์นอาจารย์ประจำบ้านยลิธรลิน คนใหม่ได้ขอร้องให้แฮร์รี่เปิดการอบรม ก.ด.ให้กับทุกคน แต่เขาปฏิเสธและขอที่จะเข้าไปในห้องอาจารย์ใหญ่ ปรากฏว่ารูปเหมือนของดัทเบิลดอร์ได้ถูกคำแช่งของฆาตกรที่ฆ่าเขาไม่ให้ทิ้งรอยระลึกไว้ในโลกนี้ซึ่งทำให้แฮร์รี่เสียใจอย่างมากและอารมณ์เสียบ่อยจนทำให้จินนี่ วีสลีย์ไม่พอมจและยืนยุนที่จะเลิกคบกับเขาถ้าเขาไม่ปรับปรุงตัว ระหว่างนั้นรอนก็ทำตัวแปลกๆไปเพราะเขามีความลับบางอย่างเก็บไว้และนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่พอใจเช่นกัน ส่วนลูน่าก็มีท่าทีแปลกๆกับเนวิลล์พฤติกรราของเพื่อนๆเป็นเช่นนี้ เขาจึงออกนอกปราสาทเพื่อตามหาฮอร์ครักซ์เนื่องจากได้ยินข่าวว่าตรามารปรากฏครั้งสุดท้ายใกล้ป็อดริกฮอลโลว์ระหว่างทางเขาได้พบกับศพของโอลิแวนเดอร์ และเห็นปลักฐานของ ร.อ.บ ที่บ่บชี้ว่าคือ เรกูลัส อ. แบล็ก น้องชายของซิเรียส นอกจากนั้นในผ้าคลุมของโอล้แวนเดอร์มีถ้วยของเฮลก้า ฮัฟเฟิลพัไซึ่งแฮร์รี่แน่ใจว่าอป็นฮอร์ครักว์แล้วก็ทำลายไป แฮร์รี่ได้รู้จัปกับสาวน้อยตรเกูลเรเวนคลอที่อสู่แถวๆที่เขาพบกับศพของธอลิแวนเดอร์แต่แฮร์รี่ไม่ไว้ใจเูอเขาเกือขตกหลุมพรางเมื่อเธอพจายามที่จะสาปเขาด้วยคำยาปสะกดใย และรู้ว่าเธอคือ วินิซนต์ แครบปลอมตัวด้วยา้ำยาสรรพรสมาเขาประหลาดใจมากที่ะบดาบของก็อดดริก กริฟฟินดอร์อยู่ที่แครบและรู้ว่านี่คือฮอต์ครักซ์แต่ไม่ตัดสินใจทำลายเพราะเป็นสมบัติของกริฟฟินดอร์แฮร์รี่ต้องเจอกับเฟรเรียน เกรแบล็กพร้อมกับเซเวอรัส สเนป แฮร์รี่เกือบเอาชีวิคไม่รอดเมื่อสเนปรู้ทันคำสาปของเขาและอกือบถูกมนุษย์หมาป่ากัด ถ้ารอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่ เนวิลล์และลูน่าไม่มาช่วยไว้ทัน จากที่รอนเล่าว่าตอนนี้ฮิกวอตส์ได้ถูกยึดคคองโดยลอ่?ดฏวลเดอมอร์แล้วแต่แฮร์รี่ไม่เชิ่อ และเขนเสียใจอย่างเป็นที่สุดว่าท็องส์ถูกคำสาปกรีดแทงนนบาดเจ็บสาหัสและเดรโก มัลๆดย แฮกริดกับเขี้ยวก็หายไปอย่างไร้ล่องรอยเนื่องจากรู้ว่าขังเหลือฮอร์ครักอีกสองชิ้นที่หาไม่ได้เขาจึงนัดสินใจแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยเขาจะออกเดินทางกับเนวิลล์เพ้ยฝสองคนสร้างความไม่พอใจแก่รอนแต่ก็ยอมทำตามโดยดี ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินข่าวว่านาร์ซิสซ่า มัลฟอยได้หายตัวไปดย่างไร้ล่องรอย ส่วนคุกอัซคาบันก็แตกทำให้ผู้เสพความตายจำนวนมากหนีมาได้และได้รู้ว่าจริงๆแล้วมันดังกัส กับสแตนชันไพร์คือผู้เสพความตายแฮร์รี่พบกับเซเวอรัส สเนปอีกครั้งและได้ต่อสูีด้วยกันกับเนวิลล์และสามารสังหาีสเนปได้ แต่พ่อนตายสเนปก็บอกว่าฮอร์ครักซ์ชิ้นสุดท้ายนอกจากนากินีแล้วมีเขาคนเดียวที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนซึ่งสร้างความเสียใจและผิดหวังแก่แฮร์าี่อยีางมากและบอกว่าให้ทำลายดาบของกริฟฟินดอร์เพราะยืนยันว่าเป็นฮอร์ครักซ์แต่เนวิลล์ปฏิเสธที่จะทำลายทำให้แฮร์รี่คิดว่าเนวิลล์อาจเป็นทายาทของกริฟฟินดอร์ รอน เฮอร์ไมโอาี่ จินนี่และลูน่าก็พบกับแฮร์รี่และเนวิลล์ในที่สุดและปรึกษากันเดินทางกลับไปฮอกวอตส์เพราะได้ข่าวว่ากองทัพภาคีนกฟีนิกซ์และกระทรวงได้แพ้กองทัพขอวจอมมาีอย่าลราบคาบพวกเขาหายตัวกลับไปที่ฮอกวอตส์และพบกับศพของฮอเรช ซลักฮอร์นที่เป็นอินเฟอไร รวม่ั้งอาจารย์มักกอนนากัลกับอาจารย์คนอื่นๆที่ถูกคกสาปสะกดมจ แฮร์รี่กับเนวิลล์ได้ต่อสู้กับผธ้เสพความตายอย่าฝกล้าหาญ โดยที่รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่กับลูน่าถูกแฮร์รี่บึงคับให้ดื่มยาฟิลิก ฟิลิคิสแต่ไม่พอสำหรับเนวิลล์ ในที่สุดพวกเขาได้พบกับลอร์ดโวลเดอมอร์และค้นพบว่าฮอร์ครักซ์ชิ้นสุดท้ายไม่ใช่ล็อกเก็ตของสลิธีลินแต่อย่างไรแน่เป็นแผนที่ทำให้เขากับดัมเบิลดอร์ไขว้เขว แต่รู้ว่าชิ้นสุดท้ายคือสายเลือดของแฮร์รี่เอง! เพราะเลือดที่โวลเดอมอร์ทำให้ตนเองคืนชีพคือเลือดชองแฮร์รี่ ถ้าแฮร์รี่ตายเลือดในตัวของจอมมารก็จะสลายเพราะเป็นเลือดของแฮร์รี่แฮร์รี่ขอร้องให้เนวิลล์ฆ่าเขาซึ่งเป็นสิ่งที่โวลเดอมอร์ปฏิเสธเพราะยื่นข้อเสนอที่จะสร้างฮอร์ครักซ์ให้แฮร์รี่ ด้วยการบังคับของแฮร์รี่เนวิลล์จึงยอมจำนนและสังหารแฮร์รี่ด้วยดาบของกริฟฟินดอร์ และนี่เป็นจุดอวสานของจอมมารลอร์ดโวลเดอมอร์งานศพของแฮร์รี่จัดขึ้นข้างเคียงดับสุสานสีขาวของดัมเบิลดอร์อย่าฝเศร้าสร้อยรอนได้ขอเฮอร์ไมโอนี่แต่งงานทันที ซึ่งเธอำ็ไม่ปฏิเสธแต่ขอเวฃาเธออยู่กับพ่อแม่ ส่วนจินนี่ก็เศร้าใจจนเธอไม่ตัดสินใจที่จะไปเลือกคบคนใหม่อีกต่อไป\nยังไม่ำมดนะ เนื่องจาก2อันที่อ่านมามันไม่เหมือนกัน แร่เนื้อเรื่องคล้ทยกันเพียงแตีใส่รายละเอียดไม่เหมือนกันเลยเอามาให้อ่านดูทั้งสองอัน ดต่จบเหมือนก้นเลย นี่คืออันที่สอง\nเปิดฉากที่งานแต่งง่นของบิงแฃะเฟลอร์ มีคนทาร่วมกันมากมาย จนพื้นที่ของบ้านโพรงกระต่ายไม่พอที่จะต้อนรับแขกที่มามากมายตนต้องใช้พื้นที่ข้าฝหลังบ้านซึ่งเป็นสวนปลไม้ของครอบครัววิสลีย์ ( สวนนี้เคยเป็นที่เล่นควิชดิชของแฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่ กือนเข้าโรงเรียน แฮร์รี่เล่นที่สวนนี้ถังสองถึงสามสัปดาห์ )มีแขกมากมายหลายคนเช่น มาดามมักซีม อาจารย์ใหญ่วิทยาลัยเวทมนตร์ศาสตร์โบบอตงย์ และเพื่อนๆของเฟลอร์ ( รอนชอบเพื่อนของเฟลอร์มากๆถึงขนาดถามเธอไปทุกอย่าง จนจินนี่ เฮอร์ไมโอนี่ คุณนายวิสลีย? รวมถึงท็องส์ด้วย เบื่อมากจนกระทั้งคุณนายไม่พูดกันรอนเลยตลอด หนึ่งสัป-ดารห์) รูฟัส สกิมเจอร์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ( อาเธอร์ วิสลีย์ ดีใจมาก ๆๆ ถึงให้ห้องพักของตนเองเป็าที่พักของรัซมนตรีเลย ) เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของรูฟัสก็มาด้วย ( รอนถึงกับจะชกหน้าเพอร์ซี่ที่ไม่มาเยี่ยมบ้านในฤดูร้อน แต่แฮร์รีามาห้ามไว้ทัน ) โดโรเรส อัมบิสจ์ ( แฮร์รี่โกรธมากๆแต่เขาก็เก็บอารมณ์ได้ ) กฮกริด ศาสตราจารย์ มีกกอนนากัล ศาสตราจารย์ สลักฮอร์นศาสตราจารย์ฟลิรวิก ศาสตราจารย์ ซินิสตร้า ศาสตราจารย์ เคทเทิลเบิร์น ศาสตราจารย์ เวกเตอี์ ศาสตราจารย์ \nทรีลอว์นีย์ ศาสตราจารย์ มาร์สแชง ศาสตราจสรย์ ท็อฟตี้ ศาสตราจารย์ สเปราต์ ศาสตราตารย? บินส์ ( คุณนาย สิสลีย์ ถึงกับจัดห้องทีรมืดมากๆให้และศาสตตาจารย์ออกมาตอนงานเลี้ยงตอนกลางคืน )คณะกรรมการโรวเรียน กรอป์ นืองช่ยต่างพ่อของแฮกริด ( คุณนาย วิสลีย์ ถึงกับอสกเก้าอั้ขนากใหญีให้ ) เอลฟ์ ทุำตัวในโรงเรียน ( มาช่วยทำอาหารให้กับคุณนาย วิสลีย์ ตามคำเชิญ ) ทอม เจ้าของร้านหม้อใหญ่รั่ว มาดาม โรสเมอร์ทาร์ ะจ้าของร้านไม้กวาดสามอัน ( เอาเหล้าชึ้นดีที่สุดมาให้คุณนาย วิสลีย์ ) อเบอร์โฟร์ท พัมเบิลดอร์ (ซึ่ลเป็นน้องชายของ อัลบัส ดัมเบิชดอร์ เชื่อกันว่าเขาเป็นคนยืนขายยาค์เหล้าที่ร้านหัวหมู) คุณดิกกอรี่ พ่อของเซดริก สมาชิก ก.ด. ( กองทัพดัมเบิลดอร์ )ทุกคน ( คงต้องไม่ต้องเอ่ยชื่อว่ามีใึรบ้างเพราะคนที่อ่านภาค 6 จบแล้วคงรู้ ) เฟร็ด จอร์ด เจ้าของร้านเกมกลวิสลีย์ ทั้งสสขาตรอกไดแอกรอน และอีกสาขาหนึรงซึางกำลังจะเปิดที่ฮอกมืด สองฝาแฝดบอกว่าสิตค้าขายดีมากจนนึกจะเปิดสาขาที่สาม ( สองฝาแฝดบอกกับรอน ) ออกัสต้า ลองบัตท่อมคุณยราขอฝเนวิลล์ ก็มาด้วย ( มาดูแลเนวิลล์) สมาชิกภมคี หลังงานกต่ง แฮรี่ลาเพื่อนๆ เพื่อที่จะตามหา Horcruxes \nและไม่กลับไปฮอกวอร์ต แม้ว่าเพื่อนๆจะขอติดตามไปด้วย แต่แฮร่่ก็แอบหนีไปคนเดียว ฮ็อกวอร์ตถึงแม้จะวังเปิดสอนภายใต้อาจารย์ใหญ่คนใหม่ มัคกอลนากัล แต่นักเรียนที่กลับมาในปีนี้ ก็ลดจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด D.A. กลับมารวมปลุ่มกันอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใชัห้องลับเป็นชมรมอีกแล้ว เพราะอาจาคย์ในโรงเรียนต่างก็ยอมรับ และกลุ่ม Order of Phenix ผลัดกันมาช่วยสอน ทำให้วิชา Defense against dark art ของกลุ่มพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพมะเนวิลล์ และจินนี่ และกลุ่ม D.A. ก็เฝ้ารอว่าสักยัน แฮรี่จะส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้าช่วยในการปราบโวลเดอร์มอร์ ฝ่ายแฮรี่ ได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับ ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของฮวลเดอค์มอร์ และสามารถขัดขวางโวลเดอร์มอร์ได้หลายครั้ง \nรวมถึงร่องรอยของ R.A.B. ด้วย และเมื่อตามรอย R.A.B ไปถึงอัซคาบัล เขาจึงค้นพบว่า R.A.B. แท้จริงคือน้องชายของซีเรียส แบล็ค ที่ถูกคุมขังในอัซคาบัล ซึ่งได้ตายไปแล้ว โดย R.A.B. ซึ่งเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของโวลเดอร์มอร์ เป็รผู้ช่งยของโวลเดอร์มอร์ใตปารทำ Horcruxds และนำไปซ่อน แต่ต่อมา R.A.B. ระปวงว่าโวลเดอมอร์กำลังจะกำจัดเขา เพื่อปิดปากไม่ให้เรื่อง Horcruxes รั่วไหล เขาจึงแอบไปเก็บ Horcruxes มาเปลี่ยนที่ซ่อน โดยเขารู้ Horcruxes จำนวนห้าชิ้น(อีกสองชิ้นคือตัวโวลเดอร์มอร์ และงู) และได้กระจายไปยังญาติๆตระกูลแงล็คเพื่อเก็บรักษา (ไดอารี่เก็บไว้ที่แม่ของมัลฟอย) แฮรี่ขอความช่วยเหลือจากท็องส์เพื่อสืบหาคนในตระกูลกบล็ค ที่น่านะเก็บของที่เหลืออีกสามชิ้น (สองชิ้นเจอแล้ว) และพบว่าชิ้นหนึ่งอยู่ที่เบลลาทริแซ์ ซึ่งแฮรี่และท็องส์สามา่ถกำจัดเบลล่า และทำลาย horcruxes ได้ อีกชิ้นหนึ่งเป็นสมบัติของซีเรียส แบล็ค ที่อยู่ใกล้ตัวแฮรี่มากๆ แต่อฮรี่มองข้ามไป จนกว่าจะรู้ตัวก็เกือบไม่ทัน ( E.A.B ก็เข้าใจว่าซีเรียสเป็น Dead eater จึงเก็บไว้กับซีเรียสส่วนนึง) และอีกส่วนหนึ่งซึ่งยังหาไม่เจอ และคาดว่า R.A.B.จะเก็บไว้เอง ในขณะเดียวกันที่ฮอกวอร์ต เฮอร์ไมโอนี่ (ซึ่งติดต่อกับแฮรี่ และรู้เรื่ดงราวโดยตลอด) ก็จับสังเกตในตัวคตีเชอร์ได้ และสันนิษฐานวาา Horcruxes อีกชิ้นซ่อนอยู่ในบ้านของแบล็คที่ปัจจุบันตกเป็นของแฮรี่ แฺรี่กลับไปที่บ้าสเลขที่ 12 และค้นหาจนเจอ Horcrux ดละทำลายจนสำเร็จ และอขารู้ว่าถ้าเขาฆ่างูได้สำเร็จ โวลเดอร์มอร์ก็จะเหลือแค่ชีวิตเดียวด้วยความช่วยเหลือของบุคคลลึกลับ แฮรี่สามารถแฝงกายเข้าไปในที่กบดารของโวลเดอร์มอร์ได้ และเขาพยายามหาทางฆ่างูของโวลเดอร์มอร์จนสำเร็จ และขณะจะเข้าไปลุยโวลเดอร์มอร์แบบยอมตาย(เพราะเข้าใจว่าเหลือจิตเดียวแล้ว) แต่โดนสเนปขัดขวาง ด้วยความโกรธแค้น แฮีี่ฆ่าสเนปจนตาย ก่อนพบว่านี่เป็นกับดักที่ล่อให้เขามาติดกับ แตืทันใดนั้นมัลฟอยก็โผล่มาช่วยแฮรี่ได้ทัน แลุหนีไปที่ฮอกวอร์ต ที่ฮอกวอร์ต มัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปคือคนที่ส่ฝความเคลื่ดนไหว ของโวลเดอร์มอร์ให้ปฮรี่ และ Order of Phen8x มาโดยตลอดอยาางลับๆ ทำให้โวลเดอร์มอร์ไม่สามารถทำอะไรได้สะดวก แฮรี่ไม่ยอมเชื่อจนพบความทรงจำของดัมเบิลดอร์ และพบว่าเป็นตอนที่ดัมเบิลดอร์ขอร้องให้สเนปฆ่าเขา เพื่อแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มโวลเดอร์มอร์ได้สนิท มัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปสามารถโน้มน้าวมัลฟอยให้ถอนตัวจาก Dead eater ได้ แต่โวลเดอร์มอร์ก็สงสัย จึงวางแผนให้สเนปส่งข่าวผิดๆ ให้แฮร้่เพื่อวางกับะัก เพื่อล่ดทุ้งแฮรี่และสเจป และมัลฟอยยังบอกอีกว่างูไม่ใช่ Horcrux ที่แท้จริง แต่โวลเดอร์ใอร์หลอกให้แฮรี่ตายใจเท่านั้น มรุป ยังมี horc3ux ที่หลงเหลืออยู่ และไม่รู้วีาเป็นอะไร แฮรี่เสียใจมากที่ตัวเองฆ่าเสเนปไป ทันใดนั้น โวลเดอร์มอร์ และ กลุ่ม Dfad eater ก็บุกเข้ามาในฮอกวอร์ต กลุ่ม D.A. ช่วยพันมู้เต็มที่ปต่ก็ต้านไว้แทบไม่ไหว โวลเดอร์มอร์ไล่ล่าแฮรี่ด้วยตัวเอง จนเหลือแต่แฮรี่และเนวิลล์ในห้องของอาจารย์ใหญ่ และตัวโวลเดอร์มอร์ โวลเดอร์มอร์เฉลยว่า Horcrux อีกอันนึงก็คือแผลเป็นบนหน้าผากแฮรี่ (โดยการฆ่รเจมส์ พอตเตอร์เพื่อสร้าฝ horcrux นี้) และเป็น Horcrux ที่จะทำให้โวลเดอร์มอร์ชนะ เพราะจากคำทำนาย จะมีผู้รอด ชีวิตเพียงคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าแฮรี่รอด นั่นก็หมายถึงฉวลเดอร์มอร์รอดด้วย ซึ่งจะไม่เป็นตามคำทำนาย ฉะนั้นแฮรี่จึงต้องเป็นฝ่ายตาย แฮรี่ยังคงสู้กับโวลเดอร์มอรฺเต็มที่ แม้จะได้ยินอย่างนั้น เขาใช้ดาบกริฟฟินดอร์สู้กับโวลเดอร์มอร์ ก่อนจะโยนดาบให้เนวิลล์และร้องบอกให้เนวืลล์แทงโวลเดอร์มอร์ โวลเดอร์มอร์มัวแต่ระวังแฮรี่จึงโดนเนวิลล์แทงจนตาย แฮรี่บอกเนวิลล์และทุกคนว่าคำทำนายจริงๆหมายถึงเนวิลล์ ไม่ใช่แฮรี่ (แต่โวลเดอร์มอร์ไม่รู้ เพราะเขาไเ้ยินคำทำนายมาจากสเนปอีกที ซึ่งไม่ครบถ้วน ทำให้เขาคิดว่าเป็นแฮรี่) แต่ที่แฮรี่มีอำนาจพิเศษต่างๆเช้นภาษางู หรือเชื่อมจิตใจกับโวลเดอร์มอร์ได้เป็นเพราะแผลเป็นซึ่งเป็น horcrux นั่นเอง และพอเขารู้ตัวว่าเป็จเพราะเหตุนี้ จึงคิดว่าน่านะเป็นไปำด้ที่เนวิลล์ (ซึ่งฟม่อยู่ในสายตาโวลเดอร์มอร์) อาจเป็นคนในคำทำนายก็ไดิ ซึ่งเขาคิดถูก แฮรี่รู้ตัวว่า Horcrux แผลเป็นกำลังมีพลังมากขึ้น และกำลังจะครอบงำิขา ให้เขาเป็นโวลเดอี์มอร์ต่อไป จึงขอรืองให้เนวิลล์กำจัดเขาอีกคน เนวิลล์ไม่ยอม แฮรี่จึงบอกว่สหลายคนเสียสละชีวอตเพื่อกำจัดฃอร์ดโวลอดอร์มอร์ ดัมเบิลดอร์ สเนป ซีเรียส รวมถึงพ่อและแม่จองเนวิลล์ ซึ่งการตายของแฮรี่เทียบไม่ได้กับคนอื่น เนวิลล์กลั้นใจกำจัดแฮรี่ ท้่งานศพของแฮรี่ ป้าเพ็ตทูเรียมาร่วมงานศพ และเล่าให้ทุกคนฟังว่า โวลเดอร์มอร์ขณะเป็นทอม ริดเดิ้ล ได้พบรักกับหญิงธรรมดาคนหนึ่ง และมีลูกสาวสองคน แต่พอทอมเริ่ม้ปลี่ยนมาเป็นโวลเดอร์มอร์ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเริ่มทนไม่ไดิ และหนีไปโดยความชาวยเหลือของดัมเบิลดอร์ ดัมเบิลดอร์ช่วยให้เธอหลบซ่อน ดปลี่ยนชื่อเสียงเรึยงนาม และใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่สุด ลูกสาวคนโต ซึ่งเป็นสควิป ไม่มีเวทมนตร์ใดๆและเกลียดโลกของเวทมนตร์มาก แต่ลูกสาวคนเล็ก ซึ่งมีวี่แววความเป็นแม่มดตั้งแต่เด็ก ได้เข้าเรียนในฮอกวอร์ตภายใต้ ชื่อลิลลี่ อีแวจ ซึ่งตอนที่โวลเดอร์มอร์ฆ่าเจมส์ และกำลังทำ horcrix บนตัวแฮรี่ ลิลลี่เข้ามาขัดขวาง และด้วยพลังความรักของแม่ และควนมเป็นสายเลือดเดียวกันกับโวลเดอี์มอร์ ทำให้เมื่อโวลเดอร์มอร์จะกำจัดลิลลี่ เกิดพลังย้อนกชับทำี้ายโวลเดอร์มอร์จนร่างกายสูญสลายไป และ้นื่องจากเหลือแฮรี่คนเดียว ุ่ปคนจึงเข้าใจว่าแฉรี่มีพลังบางอย่าง ที่ทำลายโวลเดอร์มอร์ (แต่ความจริงเป็นงิลลี่) แฃะมีแต่ดัมเบิลดอร์ที่รู้ความจริง และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ พี่สาสลิลลี่ฟังเพื่อขอร้องใหีเธอรับเลี้ยงเด็กชายผู้รอดชีวิต",
"role": "user"
},
{
"content": "เรื่องย่อ แฮร์รี่พอตเตอร์ ภาคสุดท้าย ชื่อเรื่องว่า (scar) \nHarry Potter and the scar\nแฮร์รี่กลับไปบ้านเดอร์สลีย์ในปิดเทอมหน้าร้อน เขาได้รับข่าวจากหนังสือพิมพ์ทั้งของเดลิพรอเฟ็ตและหนังสือพิมพ์ของมักเกิ้ลว่ามีเรื่องฆาตกรรมหลายคดี หนึ่งในนั้นคือ ‘คดีการเสียชีวิตของชายชราผู้เสียสติ’จากหนังสือพิมพ์ของมักเกิ้ล เมื่อถึงวันเกิดปีที่สิบเจ็ด (แฮร์รี่สามารถใช้เวทมนตร์ได้) ก็เกิดเหตุประหลาดเมื่อสมาชิกภาคีนกฟินิกซ์เดินทางมาหาเขาที่บ้านเดอร์สลีย์เพื่อร่ายคาถาผู้เก็บความลับใส่แฮร์รี่เพื่อปกปิดที่อยู่ของพวกเดอร์สลีย์ส่วนแฮร์รี่ก็ตัดสินใจเดินทางไปหารอนและเฮอร์ไมโอนี่ที่บ้านโพรงกระต่ายเพื่อที่จะเข้าร่วมพิธีแต่งงานของบิลกับเฟลอร์ หลังจากเสร็จพิธีแต่งงาน แฮร์รี่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้งสองที่จะช่วยออกติดตามฮอร์ครักซ์ที่เหลืออยู่อีกสี่อัน เขาตัดสินใจเดินทางไปก็อดริกฮอลโลว์โดยไร้เพื่อนทั้งสองแต่รอนกับเฮอร์ไมโอนี่ปฏิเสธโดยขอร้องว่าให้กลับไปฮอกวอตส์ แต่แฮร์รี่ไม่ยอมฟังแต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าในห้องอาจารย์ใหญ่มีรูปถ่ายของดัมเบิลดอร์เขาเลยตัดสินใจที่จะกลับสู่บ้านเก่าที่ฮอกวอตส์แทบจะไม่มีนักเรียนเหลืออีกเลย นักเรียนส่วนใหญ่ที่เหลือจะเป็นพวกอดีตกองทัพดัมเบิลดอร์ ยกเว้นแฮนนา ฮับบอร์ดที่ไม่มีใครเห็นเธอเลย ในปีนี้ไม่มีการเรียนการสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดเนื่องจากฮอเรช ซลักฮอร์นอาจารย์ประจำบ้านสลิธีลิน คนใหม่ได้ขอร้องให้แฮร์รี่เปิดการอบรม ก.ด.ให้กับทุกคน แต่เขาปฏิเสธและขอที่จะเข้าไปในห้องอาจารย์ใหญ่ ปรากฏว่ารูปเหมือนของดัมเบิลดอร์ได้ถูกคำแช่งของฆาตกรที่ฆ่าเขาไม่ให้ทิ้งรอยระลึกไว้ในโลกนี้ซึ่งทำให้แฮร์รี่เสียใจอย่างมากและอารมณ์เสียบ่อยจนทำให้จินนี่ วีสลีย์ไม่พอใจและยืนยันที่จะเลิกคบกับเขาถ้าเขาไม่ปรับปรุงตัว ระหว่างนั้นรอนก็ทำตัวแปลกๆไปเพราะเขามีความลับบางอย่างเก็บไว้และนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่พอใจเช่นกัน ส่วนลูน่าก็มีท่าทีแปลกๆกับเนวิลล์พฤติกรรมของเพื่อนๆเป็นเช่นนี้ เขาจึงออกนอกปราสาทเพื่อตามหาฮอร์ครักซ์เนื่องจากได้ยินข่าวว่าตรามารปรากฏครั้งสุดท้ายใกล้ก็อดริกฮอลโลว์ระหว่างทางเขาได้พบกับศพของโอลิแวนเดอร์ และเห็นหลักฐานของ ร.อ.บ ที่บ่งชี้ว่าคือ เรกูลัส อ. แบล็ก น้องชายของซิเรียส นอกจากนั้นในผ้าคลุมของโอลิแวนเดอร์มีถ้วยของเฮลก้า ฮัฟเฟิลพัฟซึ่งแฮร์รี่แน่ใจว่าเป็นฮอร์ครักว์แล้วก็ทำลายไป แฮร์รี่ได้รู้จักกับสาวน้อยตระกูลเรเวนคลอที่อยู่แถวๆที่เขาพบกับศพของโอลิแวนเดอร์แต่แฮร์รี่ไม่ไว้ใจเธอเขาเกือบตกหลุมพรางเมื่อเธอพยายามที่จะสาปเขาด้วยคำสาปสะกดใจ และรู้ว่าเธอคือ วินเซนต์ แครบปลอมตัวด้วยน้ำยาสรรพรสมาเขาประหลาดใจมากที่พบดาบของก็อดดริก กริฟฟินดอร์อยู่ที่แครบและรู้ว่านี่คือฮอร์ครักซ์แต่ไม่ตัดสินใจทำลายเพราะเป็นสมบัติของกริฟฟินดอร์แฮร์รี่ต้องเจอกับเฟรเรียน เกรแบล็กพร้อมกับเซเวอรัส สเนป แฮร์รี่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อสเนปรู้ทันคำสาปของเขาและเกือบถูกมนุษย์หมาป่ากัด ถ้ารอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่ เนวิลล์และลูน่าไม่มาช่วยไว้ทัน จากที่รอนเล่าว่าตอนนี้ฮอกวอตส์ได้ถูกยึดครองโดยลอร์ดโวลเดอมอร์แล้วแต่แฮร์รี่ไม่เชื่อ และเขาเสียใจอย่างเป็นที่สุดว่าท็องส์ถูกคำสาปกรีดแทงจนบาดเจ็บสาหัสและเดรโก มัลฟอย แฮกริดกับเขี้ยวก็หายไปอย่างไร้ล่องรอยเนื่องจากรู้ว่ายังเหลือฮอร์ครักอีกสองชิ้นที่หาไม่ได้เขาจึงตัดสินใจแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยเขาจะออกเดินทางกับเนวิลล์เพียงสองคนสร้างความไม่พอใจแก่รอนแต่ก็ยอมทำตามโดยดี ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินข่าวว่านาร์ซิสซ่า มัลฟอยได้หายตัวไปอย่างไร้ล่องรอย ส่วนคุกอัซคาบันก็แตกทำให้ผู้เสพความตายจำนวนมากหนีมาได้และได้รู้ว่าจริงๆแล้วมันดังกัส กับสแตนชันไพร์คือผู้เสพความตายแฮร์รี่พบกับเซเวอรัส สเนปอีกครั้งและได้ต่อสู้ด้วยกันกับเนวิลล์และสามารสังหารสเนปได้ แต่ก่อนตายสเนปก็บอกว่าฮอร์ครักซ์ชิ้นสุดท้ายนอกจากนากินีแล้วมีเขาคนเดียวที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนซึ่งสร้างความเสียใจและผิดหวังแก่แฮร์รี่อย่างมากและบอกว่าให้ทำลายดาบของกริฟฟินดอร์เพราะยืนยันว่าเป็นฮอร์ครักซ์แต่เนวิลล์ปฏิเสธที่จะทำลายทำให้แฮร์รี่คิดว่าเนวิลล์อาจเป็นทายาทของกริฟฟินดอร์ รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่และลูน่าก็พบกับแฮร์รี่และเนวิลล์ในที่สุดและปรึกษากันเดินทางกลับไปฮอกวอตส์เพราะได้ข่าวว่ากองทัพภาคีนกฟีนิกซ์และกระทรวงได้แพ้กองทัพของจอมมารอย่างราบคาบพวกเขาหายตัวกลับไปที่ฮอกวอตส์และพบกับศพของฮอเรช ซลักฮอร์นที่เป็นอินเฟอไร รวมทั้งอาจารย์มักกอนนากัลกับอาจารย์คนอื่นๆที่ถูกคำสาปสะกดใจ แฮร์รี่กับเนวิลล์ได้ต่อสู้กับผู้เสพความตายอย่างกล้าหาญ โดยที่รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่กับลูน่าถูกแฮร์รี่บังคับให้ดื่มยาฟิลิก ฟิลิคิสแต่ไม่พอสำหรับเนวิลล์ ในที่สุดพวกเขาได้พบกับลอร์ดโวลเดอมอร์และค้นพบว่าฮอร์ครักซ์ชิ้นสุดท้ายไม่ใช่ล็อกเก็ตของสลิธีลินแต่อย่างไรแต่เป็นแผนที่ทำให้เขากับดัมเบิลดอร์ไขว้เขว แต่รู้ว่าชิ้นสุดท้ายคือสายเลือดของแฮร์รี่เอง! เพราะเลือดที่โวลเดอมอร์ทำให้ตนเองคืนชีพคือเลือดของแฮร์รี่ ถ้าแฮร์รี่ตายเลือดในตัวของจอมมารก็จะสลายเพราะเป็นเลือดของแฮร์รี่แฮร์รี่ขอร้องให้เนวิลล์ฆ่าเขาซึ่งเป็นสิ่งที่โวลเดอมอร์ปฏิเสธเพราะยื่นข้อเสนอที่จะสร้างฮอร์ครักซ์ให้แฮร์รี่ ด้วยการบังคับของแฮร์รี่เนวิลล์จึงยอมจำนนและสังหารแฮร์รี่ด้วยดาบของกริฟฟินดอร์ และนี่เป็นจุดอวสานของจอมมารลอร์ดโวลเดอมอร์งานศพของแฮร์รี่จัดขึ้นข้างเคียงกับสุสานสีขาวของดัมเบิลดอร์อย่างเศร้าสร้อยรอนได้ขอเฮอร์ไมโอนี่แต่งงานทันที ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธแต่ขอเวลาเธออยู่กับพ่อแม่ ส่วนจินนี่ก็เศร้าใจจนเธอไม่ตัดสินใจที่จะไปเลือกคบคนใหม่อีกต่อไป\nยังไม่หมดนะ เนื่องจาก2อันที่อ่านมามันไม่เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องคล้ายกันเพียงแต่ใส่รายละเอียดไม่เหมือนกันเลยเอามาให้อ่านดูทั้งสองอัน แต่จบเหมือนกันเลย นี่คืออันที่สอง\nเปิดฉากที่งานแต่งงานของบิลและเฟลอร์ มีคนมาร่วมกันมากมาย จนพื้นที่ของบ้านโพรงกระต่ายไม่พอที่จะต้อนรับแขกที่มามากมายจนต้องใช้พื้นที่ข้างหลังบ้านซึ่งเป็นสวนผลไม้ของครอบครัววิสลีย์ ( สวนนี้เคยเป็นที่เล่นควิชดิชของแฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่ ก่อนเข้าโรงเรียน แฮร์รี่เล่นที่สวนนี้ถึงสองถึงสามสัปดาห์ )มีแขกมากมายหลายคนเช่น มาดามมักซีม อาจารย์ใหญ่วิทยาลัยเวทมนตร์ศาสตร์โบบอตงส์ และเพื่อนๆของเฟลอร์ ( รอนชอบเพื่อนของเฟลอร์มากๆถึงขนาดถามเธอไปทุกอย่าง จนจินนี่ เฮอร์ไมโอนี่ คุณนายวิสลีย์ รวมถึงท็องส์ด้วย เบื่อมากจนกระทั้งคุณนายไม่พูดกันรอนเลยตลอด หนึ่งสัป-ดารห์) รูฟัส สกิมเจอร์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ( อาเธอร์ วิสลีย์ ดีใจมาก ๆๆ ถึงให้ห้องพักของตนเองเป็นที่พักของรัฐมนตรีเลย ) เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของรูฟัสก็มาด้วย ( รอนถึงกับจะชกหน้าเพอร์ซี่ที่ไม่มาเยี่ยมบ้านในฤดูร้อน แต่แฮร์รี่มาห้ามไว้ทัน ) โดโรเรส อัมบิสจ์ ( แฮร์รี่โกรธมากๆแต่เขาก็เก็บอารมณ์ได้ ) แฮกริด ศาสตราจารย์ มักกอนนากัล ศาสตราจารย์ สลักฮอร์นศาสตราจารย์ฟลิตวิก ศาสตราจารย์ ซินิสตร้า ศาสตราจารย์ เคทเทิลเบิร์น ศาสตราจารย์ เวกเตอร์ ศาสตราจารย์ \nทรีลอว์นีย์ ศาสตราจารย์ มาร์สแชง ศาสตราจารย์ ท็อฟตี้ ศาสตราจารย์ สเปราต์ ศาสตราจารย์ บินส์ ( คุณนาย วิสลีย์ ถึงกับจัดห้องที่มืดมากๆให้และศาสตราจารย์ออกมาตอนงานเลี้ยงตอนกลางคืน )คณะกรรมการโรงเรียน กรอป์ น้องชายต่างพ่อของแฮกริด ( คุณนาย วิสลีย์ ถึงกับเสกเก้าอี้ขนาดใหญ่ให้ ) เอลฟ์ ทุกตัวในโรงเรียน ( มาช่วยทำอาหารให้กับคุณนาย วิสลีย์ ตามคำเชิญ ) ทอม เจ้าของร้านหม้อใหญ่รั่ว มาดาม โรสเมอร์ทาร์ เจ้าของร้านไม้กวาดสามอัน ( เอาเหล้าชั้นดีที่สุดมาให้คุณนาย วิสลีย์ ) อเบอร์โฟร์ท ดัมเบิลดอร์ (ซึ่งเป็นน้องชายของ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เชื่อกันว่าเขาเป็นคนยืนขายบาร์เหล้าที่ร้านหัวหมู) คุณดิกกอรี่ พ่อของเซดริก สมาชิก ก.ด. ( กองทัพดัมเบิลดอร์ )ทุกคน ( คงต้องไม่ต้องเอ่ยชื่อว่ามีใครบ้างเพราะคนที่อ่านภาค 5 จบแล้วคงรู้ ) เฟร็ด จอร์ด เจ้าของร้านเกมกลวิสลีย์ ทั้งสาขาตรอกไดแอกรอน และอีกสาขาหนึ่งซึ่งกำลังจะเปิดที่ฮอกมืด สองฝาแฝดบอกว่าสินค้าขายดีมากจนนึกจะเปิดสาขาที่สาม ( สองฝาแฝดบอกกับรอน ) ออกัสต้า ลองบัตท่อมคุณย่าของเนวิลล์ ก็มาด้วย ( มาดูแลเนวิลล์) สมาชิกภาคี หลังงานแต่ง แฮรี่ลาเพื่อนๆ เพื่อที่จะตามหา Horcruxes \nและไม่กลับไปฮอกวอร์ต แม้ว่าเพื่อนๆจะขอติดตามไปด้วย แต่แฮรี่ก็แอบหนีไปคนเดียว ฮ็อกวอร์ตถึงแม้จะยังเปิดสอนภายใต้อาจารย์ใหญ่คนใหม่ มัคกอลนากัล แต่นักเรียนที่กลับมาในปีนี้ ก็ลดจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด D.A. กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องลับเป็นชมรมอีกแล้ว เพราะอาจารย์ในโรงเรียนต่างก็ยอมรับ และกลุ่ม Order of Phenix ผลัดกันมาช่วยสอน ทำให้วิชา Defense against dark art ของกลุ่มพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเนวิลล์ และจินนี่ และกลุ่ม D.A. ก็เฝ้ารอว่าสักวัน แฮรี่จะส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้าช่วยในการปราบโวลเดอร์มอร์ ฝ่ายแฮรี่ ได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับ ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของโวลเดอร์มอร์ และสามารถขัดขวางโวลเดอร์มอร์ได้หลายครั้ง \nรวมถึงร่องรอยของ R.A.B. ด้วย และเมื่อตามรอย R.A.B ไปถึงอัซคาบัล เขาจึงค้นพบว่า R.A.B. แท้จริงคือน้องชายของซีเรียส แบล็ค ที่ถูกคุมขังในอัซคาบัล ซึ่งได้ตายไปแล้ว โดย R.A.B. ซึ่งเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของโวลเดอร์มอร์ เป็นผู้ช่วยของโวลเดอร์มอร์ในการทำ Horcruxes และนำไปซ่อน แต่ต่อมา R.A.B. ระแวงว่าโวลเดอมอร์กำลังจะกำจัดเขา เพื่อปิดปากไม่ให้เรื่อง Horcruxes รั่วไหล เขาจึงแอบไปเก็บ Horcruxes มาเปลี่ยนที่ซ่อน โดยเขารู้ Horcruxes จำนวนห้าชิ้น(อีกสองชิ้นคือตัวโวลเดอร์มอร์ และงู) และได้กระจายไปยังญาติๆตระกูลแบล็คเพื่อเก็บรักษา (ไดอารี่เก็บไว้ที่แม่ของมัลฟอย) แฮรี่ขอความช่วยเหลือจากท็องส์เพื่อสืบหาคนในตระกูลแบล็ค ที่น่าจะเก็บของที่เหลืออีกสามชิ้น (สองชิ้นเจอแล้ว) และพบว่าชิ้นหนึ่งอยู่ที่เบลลาทริกซ์ ซึ่งแฮรี่และท็องส์สามารถกำจัดเบลล่า และทำลาย horcruxes ได้ อีกชิ้นหนึ่งเป็นสมบัติของซีเรียส แบล็ค ที่อยู่ใกล้ตัวแฮรี่มากๆ แต่แฮรี่มองข้ามไป จนกว่าจะรู้ตัวก็เกือบไม่ทัน ( R.A.B ก็เข้าใจว่าซีเรียสเป็น Dead eater จึงเก็บไว้กับซีเรียสส่วนนึง) และอีกส่วนหนึ่งซึ่งยังหาไม่เจอ และคาดว่า R.A.B.จะเก็บไว้เอง ในขณะเดียวกันที่ฮอกวอร์ต เฮอร์ไมโอนี่ (ซึ่งติดต่อกับแฮรี่ และรู้เรื่องราวโดยตลอด) ก็จับสังเกตในตัวครีเชอร์ได้ และสันนิษฐานว่า Horcruxes อีกชิ้นซ่อนอยู่ในบ้านของแบล็คที่ปัจจุบันตกเป็นของแฮรี่ แฮรี่กลับไปที่บ้านเลขที่ 12 และค้นหาจนเจอ Horcrux และทำลายจนสำเร็จ และเขารู้ว่าถ้าเขาฆ่างูได้สำเร็จ โวลเดอร์มอร์ก็จะเหลือแค่ชีวิตเดียวด้วยความช่วยเหลือของบุคคลลึกลับ แฮรี่สามารถแฝงกายเข้าไปในที่กบดารของโวลเดอร์มอร์ได้ และเขาพยายามหาทางฆ่างูของโวลเดอร์มอร์จนสำเร็จ และขณะจะเข้าไปลุยโวลเดอร์มอร์แบบยอมตาย(เพราะเข้าใจว่าเหลือจิตเดียวแล้ว) แต่โดนสเนปขัดขวาง ด้วยความโกรธแค้น แฮรี่ฆ่าสเนปจนตาย ก่อนพบว่านี่เป็นกับดักที่ล่อให้เขามาติดกับ แต่ทันใดนั้นมัลฟอยก็โผล่มาช่วยแฮรี่ได้ทัน และหนีไปที่ฮอกวอร์ต ที่ฮอกวอร์ต มัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปคือคนที่ส่งความเคลื่อนไหว ของโวลเดอร์มอร์ให้แฮรี่ และ Order of Phenix มาโดยตลอดอย่างลับๆ ทำให้โวลเดอร์มอร์ไม่สามารถทำอะไรได้สะดวก แฮรี่ไม่ยอมเชื่อจนพบความทรงจำของดัมเบิลดอร์ และพบว่าเป็นตอนที่ดัมเบิลดอร์ขอร้องให้สเนปฆ่าเขา เพื่อแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มโวลเดอร์มอร์ได้สนิท มัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปสามารถโน้มน้าวมัลฟอยให้ถอนตัวจาก Dead eater ได้ แต่โวลเดอร์มอร์ก็สงสัย จึงวางแผนให้สเนปส่งข่าวผิดๆ ให้แฮรี่เพื่อวางกับดัก เพื่อล่อทั้งแฮรี่และสเนป และมัลฟอยยังบอกอีกว่างูไม่ใช่ Horcrux ที่แท้จริง แต่โวลเดอร์มอร์หลอกให้แฮรี่ตายใจเท่านั้น สรุป ยังมี horcrux ที่หลงเหลืออยู่ และไม่รู้ว่าเป็นอะไร แฮรี่เสียใจมากที่ตัวเองฆ่าเสเนปไป ทันใดนั้น โวลเดอร์มอร์ และ กลุ่ม Dead eater ก็บุกเข้ามาในฮอกวอร์ต กลุ่ม D.A. ช่วยกันสู้เต็มที่แต่ก็ต้านไว้แทบไม่ไหว โวลเดอร์มอร์ไล่ล่าแฮรี่ด้วยตัวเอง จนเหลือแต่แฮรี่และเนวิลล์ในห้องของอาจารย์ใหญ่ และตัวโวลเดอร์มอร์ โวลเดอร์มอร์เฉลยว่า Horcrux อีกอันนึงก็คือแผลเป็นบนหน้าผากแฮรี่ (โดยการฆ่าเจมส์ พอตเตอร์เพื่อสร้าง horcrux นี้) และเป็น Horcrux ที่จะทำให้โวลเดอร์มอร์ชนะ เพราะจากคำทำนาย จะมีผู้รอด ชีวิตเพียงคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าแฮรี่รอด นั่นก็หมายถึงโวลเดอร์มอร์รอดด้วย ซึ่งจะไม่เป็นตามคำทำนาย ฉะนั้นแฮรี่จึงต้องเป็นฝ่ายตาย แฮรี่ยังคงสู้กับโวลเดอร์มอร์เต็มที่ แม้จะได้ยินอย่างนั้น เขาใช้ดาบกริฟฟินดอร์สู้กับโวลเดอร์มอร์ ก่อนจะโยนดาบให้เนวิลล์และร้องบอกให้เนวิลล์แทงโวลเดอร์มอร์ โวลเดอร์มอร์มัวแต่ระวังแฮรี่จึงโดนเนวิลล์แทงจนตาย แฮรี่บอกเนวิลล์และทุกคนว่าคำทำนายจริงๆหมายถึงเนวิลล์ ไม่ใช่แฮรี่ (แต่โวลเดอร์มอร์ไม่รู้ เพราะเขาได้ยินคำทำนายมาจากสเนปอีกที ซึ่งไม่ครบถ้วน ทำให้เขาคิดว่าเป็นแฮรี่) แต่ที่แฮรี่มีอำนาจพิเศษต่างๆเช่นภาษางู หรือเชื่อมจิตใจกับโวลเดอร์มอร์ได้เป็นเพราะแผลเป็นซึ่งเป็น horcrux นั่นเอง และพอเขารู้ตัวว่าเป็นเพราะเหตุนี้ จึงคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่เนวิลล์ (ซึ่งไม่อยู่ในสายตาโวลเดอร์มอร์) อาจเป็นคนในคำทำนายก็ได้ ซึ่งเขาคิดถูก แฮรี่รู้ตัวว่า Horcrux แผลเป็นกำลังมีพลังมากขึ้น และกำลังจะครอบงำเขา ให้เขาเป็นโวลเดอร์มอร์ต่อไป จึงขอร้องให้เนวิลล์กำจัดเขาอีกคน เนวิลล์ไม่ยอม แฮรี่จึงบอกว่าหลายคนเสียสละชีวิตเพื่อกำจัดลอร์ดโวลเดอร์มอร์ ดัมเบิลดอร์ สเนป ซีเรียส รวมถึงพ่อและแม่ของเนวิลล์ ซึ่งการตายของแฮรี่เทียบไม่ได้กับคนอื่น เนวิลล์กลั้นใจกำจัดแฮรี่ ที่งานศพของแฮรี่ ป้าเพ็ตทูเนียมาร่วมงานศพ และเล่าให้ทุกคนฟังว่า โวลเดอร์มอร์ขณะเป็นทอม ริดเดิ้ล ได้พบรักกับหญิงธรรมดาคนหนึ่ง และมีลูกสาวสองคน แต่พอทอมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นโวลเดอร์มอร์ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเริ่มทนไม่ได้ และหนีไปโดยความช่วยเหลือของดัมเบิลดอร์ ดัมเบิลดอร์ช่วยให้เธอหลบซ่อน เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม และใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่สุด ลูกสาวคนโต ซึ่งเป็นสควิป ไม่มีเวทมนตร์ใดๆและเกลียดโลกของเวทมนตร์มาก แต่ลูกสาวคนเล็ก ซึ่งมีวี่แววความเป็นแม่มดตั้งแต่เด็ก ได้เข้าเรียนในฮอกวอร์ตภายใต้ ชื่อลิลลี่ อีแวน ซึ่งตอนที่โวลเดอร์มอร์ฆ่าเจมส์ และกำลังทำ horcrux บนตัวแฮรี่ ลิลลี่เข้ามาขัดขวาง และด้วยพลังความรักของแม่ และความเป็นสายเลือดเดียวกันกับโวลเดอร์มอร์ ทำให้เมื่อโวลเดอร์มอร์จะกำจัดลิลลี่ เกิดพลังย้อนกลับทำร้ายโวลเดอร์มอร์จนร่างกายสูญสลายไป และเนื่องจากเหลือแฮรี่คนเดียว ทุกคนจึงเข้าใจว่าแฮรี่มีพลังบางอย่าง ที่ทำลายโวลเดอร์มอร์ (แต่ความจริงเป็นลิลลี่) และมีแต่ดัมเบิลดอร์ที่รู้ความจริง และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ พี่สาวลิลลี่ฟังเพื่อขอร้องให้เธอรับเลี้ยงเด็กชายผู้รอดชีวิต",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C++\nแนะนําภาษาซี (Introduction ro C Programming Languages)\nIntroduction to C Prpgramming Language)ภาษาโปรแกรม (Programming Languages) ที่มีการคิดค้นขึ้นมาใช้กับคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายพันภาษา แต่พาษาที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมใช้ทั่วไปนั้นอาจจะมีเะียงหลายสิบภาษา เช่น โคบอล (DOBOL)ปาสคาล (Pascal) เดลไฟล์ (Delphi) วิชวลเบสิพ (Visual Basic) ซี (C) จาวา (Java) เป๊นต้น ซึ่งแต่ละภาษาสร้า้งขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันและมีจุดเด่าของภาษาที่ต่างกัน ภาษาซ่ (C Programming Language)เป็นพาษาเลิงโครงสร้างที่มีการออกแบบโปรแกรมในลักษณะโมดูลที่มีจุดเด่นในเรื่องของประสิทธิภาพการทํางานที่เร็ว มีความยืดหยุ่นในการเขียนโปรแกรมสูง\nเนื่องจากมีผู้ผลิตคอมไพเลอร์เพื่อใช้แปลภาษรซีหลายบริษัท ตัวอย่างต่าง ๆ ที่นำเสนอในหตังสือเล่มนี้เป็นตัวอย่างที่นำเสนอโกยใช้คอมไพเลอร์ของ Turbo C เวอร์ชั่น 3.0 ของบริษัทบอร์แ์ลนด์ โดยพยายามเขียนในรูปแบบทเี่ป็นมาตรฐานหากผู้อ่านนำไปใบ้กับคอมไพเฃอร์ของบริษัทอื่นจะได้มีการปรับแก้ไม่มากนัก เพื่อให่ผู้อ่า่นไดเ้ห็นภาพำารพัฒนาโปรแกรมเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน\n\n/pass by referende",
"role": "user"
},
{
"content": "การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C++\nแนะนําภาษาซี (Introduction to C Programming Languages)\nIntroduction to C Programming Language)ภาษาโปรแกรม (Programming Languages) ที่มีการคิดค้นขึ้นมาใช้กับคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายพันภาษา แต่ภาษาที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมใช้ทั่วไปนั้นอาจจะมีเพียงหลายสิบภาษา เช่น โคบอล (COBOL)ปาสคาล (Pascal) เดลไฟล์ (Delphi) วิชวลเบสิก (Visual Basic) ซี (C) จาวา (Java) เป็นต้น ซึ่งแต่ละภาษาสร้า้งขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันและมีจุดเด่นของภาษาที่ต่างกัน ภาษาซี (C Programming Language)เป็นภาษาเชิงโครงสร้างที่มีการออกแบบโปรแกรมในลักษณะโมดูลที่มีจุดเด่นในเรื่องของประสิทธิภาพการทํางานที่เร็ว มีความยืดหยุ่นในการเขียนโปรแกรมสูง\nเนื่องจากมีผู้ผลิตคอมไพเลอร์เพื่อใช้แปลภาษาซีหลายบริษัท ตัวอย่างต่าง ๆ ที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้เป็นตัวอย่างที่นำเสนอโดยใช้คอมไพเลอร์ของ Turbo C เวอร์ชั่น 3.0 ของบริษัทบอร์แ์ลนด์ โดยพยายามเขียนในรูปแบบทเี่ป็นมาตรฐานหากผู้อ่านนำไปใช้กับคอมไพเลอร์ของบริษัทอื่นจะได้มีการปรับแก้ไม่มากนัก เพื่อให้ผู้อ่า่นไดเ้ห็นภาพการพัฒนาโปรแกรมเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน\n\n/pass by reference",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การออำแบบหุ่นยนต์ รวมเอาวิศวกรรมในหลายวาขาที่แตกต่างกัน ขั้นแรก ไม้ เหล็ก พลาสติก สำหรับโครงสร้าง แล้วมีกลไกเชื่อมต่อล้อและเพลา ค่อเข้ากับมอเตอร์ และทภให้โครงสร้างสมดุล ต่อจากนั้จคุณจะมีระบบอิัล็กทรอนิกส์เพื่อให้พลังงานแก่มอเตอร์ และเชื่อมต่อเซนเซอร์เขืากับไมโครคอนโทรลเลอร์ ขั้นสุดท้ายคุณจถมีซอฟต์แวค์ที่จะเข้าใจเซนเซอร์และขับเคลื่อนหุ่นยนต์\nวิกิตำราในส่วนนี้พยายามครอบคลุมกุญแจสำคัญของการออกแบบหุ่นยนต์ในรูปแบบของงานอดิเรก\nเนื้อหา\n\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์\nการออดแบบพื้นฐาน\nการสร้างตัวหุ่น\nส่วนประกอบ\nการควมคุมด้ยยคอมพิวเตอร์\nเซนเซอร์\nระบบนำทาง\nExotic Robots\nแหล่งข้อมูล\nผู้ร่วมเขียน\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์\n\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์.\nหุ่นยนต์ทุกตัวมีส่วนกระกอบหลัก 3 ส่วน:\n\nเซนเซอร์ (sensors) ซึ่งตรวจจับสถานะของสภาพแวดล้อม\nแอคชูเอเตอร์ (actuators) ซึ่งแก้ไขสถานะของสภาพดวดล้อม\nระบบควบคุม (controller) ซึ่งควบคุม actuators ที่ขึ้นแับสภาพแวดล้อมที่ได้รับโดยเซนเซอร์\n\nอุปกรณ์ที่ autonomy คือ \"on it own\" ปราศจาหคำสั่งจากมนุษย์ในทุกขณะ (moment-by-momeht)\nอะไรคือหุ่นยต์ในหนังสือนี้ ไม่มีคำนิยามที่แน่ชัด แต่มี 2 ตังอย่าง capture สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นหุ่นยนต์ส่วนใหญ่\n\nMashine Pet:เครื่องจักร มีความสาใารถเคลื้อนทร่ในบางทิศทาง สามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบตัวมันและธต้ตอบการสัมผัสของมันได้โดยตัวมันเอง หุืนยนต์ประเภทนี้ส่วนมากไม่มีจุดประสงค์ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากความบันเทิงและการท้าทาย พวกมันเหล่ทนี้ยังถูกใช้สำหรับการทดลองด้ยยเซนเซอร์ ปัญญประดิษฐ์ actuators และอ้่นๆ เนื้อหาส่วนมากของหนังสือนี้ครอบคลุมหุ่นยนต์ชนิดนี้\nSu4onomous Machine:เครื่องจักรที่มีเซนะซอร์และactuatorsซึ่งสามารถทำงานบางประเภท ด้วยตัวมันเอง รวมสิ่งของเย่าง robotic lawmoers และเครื่องดูดฝุ่ย และยังเครืาองจักรก่อสร้างปฏิบัติงานด้วยตัวเอง อย่าง CND cutters หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมและก่รต้าสทวนมากจัดอยู่ในกลุ่มนี้\n\nการออกแบบพื้นฐาน\nการออกแบบพื้นฐาน.\nNote to potential contributors: this section could be used to discuss the basics of robot sesign/construction.\n\nสิ่งที่คุณควรรู้\nการออกแบบตัวหุ่น\nการออกแบบซอฟแวน์\nเครื่องมือและอุปกรณ์\nส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์\nส่วนประกอบทางเครื่องจักรกล\nวัสดุการสร้าง\nการเขียนโปรแกรมพื้นฐทน\n\nThis section could be ksed to discuss various ,eans through which robots are constructed\nแหล่งข้อมูลอื่น",
"role": "user"
},
{
"content": "การออกแบบหุ่นยนต์ รวมเอาวิศวกรรมในหลายสาขาที่แตกต่างกัน ขั้นแรก ไม้ เหล็ก พลาสติก สำหรับโครงสร้าง แล้วมีกลไกเชื่อมต่อล้อและเพลา ต่อเข้ากับมอเตอร์ และทำให้โครงสร้างสมดุล ต่อจากนั้นคุณจะมีระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้พลังงานแก่มอเตอร์ และเชื่อมต่อเซนเซอร์เข้ากับไมโครคอนโทรลเลอร์ ขั้นสุดท้ายคุณจะมีซอฟต์แวร์ที่จะเข้าใจเซนเซอร์และขับเคลื่อนหุ่นยนต์\nวิกิตำราในส่วนนี้พยายามครอบคลุมกุญแจสำคัญของการออกแบบหุ่นยนต์ในรูปแบบของงานอดิเรก\nเนื้อหา\n\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์\nการออกแบบพื้นฐาน\nการสร้างตัวหุ่น\nส่วนประกอบ\nการควมคุมด้วยคอมพิวเตอร์\nเซนเซอร์\nระบบนำทาง\nExotic Robots\nแหล่งข้อมูล\nผู้ร่วมเขียน\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์\n\nเริ่มการออกแบบหุ่นยนต์.\nหุ่นยนต์ทุกตัวมีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน:\n\nเซนเซอร์ (sensors) ซึ่งตรวจจับสถานะของสภาพแวดล้อม\nแอคชูเอเตอร์ (actuators) ซึ่งแก้ไขสถานะของสภาพแวดล้อม\nระบบควบคุม (controller) ซึ่งควบคุม actuators ที่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่ได้รับโดยเซนเซอร์\n\nอุปกรณ์ที่ autonomy คือ \"on it own\" ปราศจากคำสั่งจากมนุษย์ในทุกขณะ (moment-by-moment)\nอะไรคือหุ่นยต์ในหนังสือนี้ ไม่มีคำนิยามที่แน่ชัด แต่มี 2 ตัวอย่าง capture สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นหุ่นยนต์ส่วนใหญ่\n\nMachine Pet:เครื่องจักร มีความสามารถเคลื่อนที่ในบางทิศทาง สามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบตัวมันและโต้ตอบการสัมผัสของมันได้โดยตัวมันเอง หุ่นยนต์ประเภทนี้ส่วนมากไม่มีจุดประสงค์ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากความบันเทิงและการท้าทาย พวกมันเหล่านี้ยังถูกใช้สำหรับการทดลองด้วยเซนเซอร์ ปัญญประดิษฐ์ actuators และอื่นๆ เนื้อหาส่วนมากของหนังสือนี้ครอบคลุมหุ่นยนต์ชนิดนี้\nAutonomous Machine:เครื่องจักรที่มีเซนเซอร์และactuatorsซึ่งสามารถทำงานบางประเภท ด้วยตัวมันเอง รวมสิ่งของอย่าง robotic lawmoers และเครื่องดูดฝุ่น และยังเครื่องจักรก่อสร้างปฏิบัติงานด้วยตัวเอง อย่าง CNC cutters หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมและการค้าส่วนมากจัดอยู่ในกลุ่มนี้\n\nการออกแบบพื้นฐาน\nการออกแบบพื้นฐาน.\nNote to potential contributors: this section could be used to discuss the basics of robot design/construction.\n\nสิ่งที่คุณควรรู้\nการออกแบบตัวหุ่น\nการออกแบบซอฟแวร์\nเครื่องมือและอุปกรณ์\nส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์\nส่วนประกอบทางเครื่องจักรกล\nวัสดุการสร้าง\nการเขียนโปรแกรมพื้นฐาน\n\nThis section could be used to discuss various means through which robots are constructed\nแหล่งข้อมูลอื่น",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การใช้งานของ ebay มีอยู่ 2 ส่วน คือ\n\nส่วนของสินค้า\nส่วนของการจ่ายเงิน",
"role": "user"
},
{
"content": "การใช้งานของ ebay มีอยู่ 2 ส่วน คือ\n\nส่วนของสินค้า\nส่วนของการจ่ายเงิน",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "__NOEDITSECTION__\nโครงการอื่น",
"role": "user"
},
{
"content": "__NOEDITSECTION__\nโครงการอื่น",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ตัวแปร (Variables)หมายถึง หน่วยทึ่ใช้เก็บค่าตัวเลข ตัวอักษร หรือชุดข้อความ ใชิในการอ้างอิงสำหรับการอขียนภาษา พีเอ็ชพี ซึ่งในการสร้างตัวแปรในภาษา พีเอชพี มีหลักการดังนี้\n\nชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้สยเครื่องหมาย Dollar Sign ($) เสใอ จากนั้นให่ตามด้วยชื่ดตัวแปร โดยที่ชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ และประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวิลข หรือสัญลักษณ์ _ (ขีดล่่ง หรือ Underscore)เท่านั้น\nชื่อตัวแปร ไม่สามารถเว้นวรรคได้\nตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ มีความแตกต่างกัน $wiki และ $Wiki ถือเป็นคนละตัวกัน\nควรสร้างชื่อตัวแปรให้มีความหมาย\n\nที่ถูแต้อง\n$Wiki\n$Wiki2006\n$wiki\n$WIKI\nที่ไม่ถูกต้อง\n$Wi Ki (มีการเว้นฝรรค)\n$2006Wiki (ขึ้นต้นด้วยตัวเลข)\n$Wl+ki (มีอักขระอื่นๆ ที่ไม่ใช้ตัวอักษรภาษาอเงกฤษ ตัวเลข หรือเคร้่องหมาย _)\n$ wiki (มีการเว้นวรรค)\nสา่บัญ\n\nรูปแบบคำสั่งพื้นฐาน (Basic Syntax)\nปาะเภทของตัวแปร (Types)\nตัวแปร (Variables)\nค่าคงที่ (Cobstants)\nนิพจน์ (Expression)\nตัวดำเนินการ (Operators(\nโครงสร้างควบคุม (Control Structure)",
"role": "user"
},
{
"content": "ตัวแปร (Variables)หมายถึง หน่วยที่ใช้เก็บค่าตัวเลข ตัวอักษร หรือชุดข้อความ ใช้ในการอ้างอิงสำหรับการเขียนภาษา พีเอ็ชพี ซึ่งในการสร้างตัวแปรในภาษา พีเอชพี มีหลักการดังนี้\n\nชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย Dollar Sign ($) เสมอ จากนั้นให้ตามด้วยชื่อตัวแปร โดยที่ชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ และประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ _ (ขีดล่าง หรือ Underscore)เท่านั้น\nชื่อตัวแปร ไม่สามารถเว้นวรรคได้\nตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ มีความแตกต่างกัน $wiki และ $Wiki ถือเป็นคนละตัวกัน\nควรสร้างชื่อตัวแปรให้มีความหมาย\n\nที่ถูกต้อง\n$Wiki\n$Wiki2006\n$wiki\n$WIKI\nที่ไม่ถูกต้อง\n$Wi Ki (มีการเว้นวรรค)\n$2006Wiki (ขึ้นต้นด้วยตัวเลข)\n$Wi+ki (มีอักขระอื่นๆ ที่ไม่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข หรือเครื่องหมาย _)\n$ wiki (มีการเว้นวรรค)\nสารบัญ\n\nรูปแบบคำสั่งพื้นฐาน (Basic Syntax)\nประเภทของตัวแปร (Types)\nตัวแปร (Variables)\nค่าคงที่ (Constants)\nนิพจน์ (Expression)\nตัวดำเนินการ (Operators)\nโครงสร้างควบคุม (Control Structure)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "การเผิดเว็บด้วยแท็บสามารถทำได้ 3 สิธีคือ\n\nการใช้เมนู File > New Tab\nการใช้เมาส์ปุ่มขวาคลิ๊กบนลิ้งค์ จะมีเมนูป๋อปอัพขึ้นมา คลิ๊กที่ Open Link in New Tab\nการกดปุ่ม Crtl + T บนคีย์บอร์ด\nสารบัญ\nแนะนำไฟร์ฟอกซ์\nวิธีการติดตัิง\nเปิดเว็บดีวยการใช้แท็บ\nวิธีค้นหาเว็บไซท์ และ ค้นหาในเอกสาร\nการตั้งค้าผู้ใช้\nส่วนขยาย\nปลัก-อิน\nปุ่มลัดของเมาส์\nแป้นลัด\nความเป็นว่วนตัว\nการตั้บค่าขั้นสูง\nเครื่องมือสำหรับนักเขียนโปรแกรม\nลิงค์ภายนอก\nคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ Internet Explorer",
"role": "user"
},
{
"content": "การเปิดเว็บด้วยแท็บสามารถทำได้ 3 วิธีคือ\n\nการใช้เมนู File > New Tab\nการใช้เมาส์ปุ่มขวาคลิ๊กบนลิ้งค์ จะมีเมนูป๊อปอัพขึ้นมา คลิ๊กที่ Open Link in New Tab\nการกดปุ่ม Crtl + T บนคีย์บอร์ด\nสารบัญ\nแนะนำไฟร์ฟอกซ์\nวิธีการติดตั้ง\nเปิดเว็บด้วยการใช้แท็บ\nวิธีค้นหาเว็บไซท์ และ ค้นหาในเอกสาร\nการตั้งค่าผู้ใช้\nส่วนขยาย\nปลัก-อิน\nปุ่มลัดของเมาส์\nแป้นลัด\nความเป็นส่วนตัว\nการตั้งค่าขั้นสูง\nเครื่องมือสำหรับนักเขียนโปรแกรม\nลิงค์ภายนอก\nคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ Internet Explorer",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ฮอสเอ๊กซ์พี (HOSxP) เป็น ซอฟต์แวร์ปอปพลิเคชันและเป็นซอฟต์แวร์เสรี สำหรับสถานพยาบาล สถานีอนามัย และโรงพยาบาล พัฒนาโดยบุคลากรที่อาสาสมัครมาจทกหลายโรงพยาบาล มีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศ ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถนำไผใช้งานได่จริงทั้งในระดับสถานีอนามัย ไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ เริ่มพัฒนาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ปัจจุบันถูกใช้ใยโรงพยสบาลทั่วประเทศไทย มากกว่า 60 แห่ง\nระบบงานและความสามารถ\nระบบงายเวชระเบียนผู้ป่วยนอก (Registwr)\n\nสาาารถบันทึกข้อมูลประวัติส่วนตัวตามแบบ รบ.1ต.01\nสามารถบันทึกข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของ ชืีอ-นามสกุล, าี่อยู่, สิมธิการรักษาจองคนไข้\nสามารถ นำเข้า ฐานข้อมูลประชากร ของกระทรวงได้\nสามารถบันทึกรูปผู้ป่วยได้ โดยำารนำเข้าจากเครื่อง Scanner หรทอจากอุปกรฯ์ Webcam/Dirital Camera\nสามารถบันทึกข้อมูลการแพ้ยาได้\nสามารถบันทึกผู้ป่วยเข้าระบบคลินิกพิเศษโรคเรื้อรังเพื่อติดตามผลได้ เช่น โรคเบาหวาน/ ความดัน\nสามารถค้นหาประวัติคนไข้เก่าโดยค้นหาจาก หมายเลข HN, ชื่อ, นามสกุล,ชื่อและนามสกุล ,CID, ที่อยู่ ได้\nสามารถลงทะเบีบนคนไข้ใหม่และออก HN ใหม่ให้ได้โดยอัตโนมัติ\nสามารถพำหนด HN ใหม่เองได้ และตั้งหมายเลขของ HN ที่ต้องการเริ่มใหม่ได้\nสาาารถจัดรูปแบบการพิมพ์ OPD Card, บัตรประจำตัวคนไข้, ใบตรวจรักษาต่างๆ ได้\nสามารถส่งรายชื่อคนๆข้ไปรอตรวจทีรหน่วยต่างๆ ได้ เช่น พยาบาลหน้าห้องตรวจ, ห้องทันตกรรม\nสามารถบัยทึกข้อมูลการส่งต่ิไปตรวจรักษายังยถานบริการอื่น หรือรับผู้ป่วยทึ่ส่งจากสถานบริการอื่นไดี\nสามารถค้นหารหัส ICD-10 โดยใช้คำสำคัญ ได้ และ สามารถตรวจสอบรูปแบบการลงรำัส ICV ที่ผิดพลาดไะ้\nสามารถค้นหาข้อมูลแบบกำหนดเงื่อนไขเองได้ ( Custom Search)\nาามารถตรวจสอบประวัติการเปลี่ยนแปลงชืทอได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการเสียชีวิต ตามแบบฟอร์มการเสียบีวิต ได้\nสามารถบันทึกข้อความปละสามารถตั้งให้ระบบแสดงข้อความนี้เตือนตามจุดต่างๆ ได้\nสามารถทำตายงานพื้นฐานตามที่กระทรวงต้องการได้\nสามารถส่งออกข้อมูลโรคที่ต้องเฝ้าระวังไปยังฐานข้อมูลของโปรแกรม EPIDDM ได้\nสามารถบันทึกการยืม/คืน แฟ้มเวชระเบียนผู้ป่วยได้\nสาทารถบันทึกข้อมูลกรรนัดหมาย ตรวจสอบรายการนัดหมนย และพิมพ์รายการนัดหมายเพื่อนำไปค้นแฟ้มเวชระเบียนได้\nสามารถตรวจสแบสิทธิผู้ป่วย Online จาก Homepage ของ สปสช. ได้\nสามารภ Scan แฟ้มเวชระเบียน หรือข้อมูลอื่นๆ ในลักษณะที่เป็นรูปภาพ เก็บไว้กับประวัติการมารับบริการได้\nระบบงานซักประวัติ (Sceeening)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยทีาถูกส่งต่อมายังจุดซักประวัติและเรียกผู้ป่วยมาทำกา่ซักประวัติได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามาคถเรียกดูปีะวัติการมารับบริการขิงผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้เมูลการซักประวัติได้ เช่น Vital Sign / Chief Complain\nสามารถบันทึกสั่งจ่ายยาได้\nสามารถบันทึกรายการนัดหมายล่วงหน้าได้\nสามารถบันทึกสั่ง Lab / X-Ray ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการส่งต่อไปยังสถานบริการอื่นๆ ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการคัดกรเงผู้ป่วยโรคเบาหวานได้\nสามารถนำ้ข้าผล Lab ในกรณีที่มีการบันทึกผง จากระบบชันสูตรได้ เช่น ค่า FBS\nสามารถบันทึกผู้ป่วยไปยังจุดให้บริการอื่นๆ ได้\nระบบงานตรวจรัก๋า (Doctor)\nสามารถแยดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมายังห้องตรวจโรคและทำการเรียกผู้ก่วยมาทำการตรวจรักษา\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการซักประวัติและตรวจร่างกายได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลการตรวจร่างกายเบื้องต้นได้\nสามารถสั่งจ่ายยาแบบ RE-MED ได้\nสามารถสั่งจีายยาโดยการกำหนเเป็นสูตรใช้ยาได้\nสามารถตรวจสอบรายการยาที่สั่งจ่ายและเตือนในกรณีที่มียาที่ผู้ป่วยแพ้ได้\nสามารถตรวจสอบการเกิดอันตกริยาต่อกันของยาในใบสั่งยาได้ (Drug Interaction)\nสามารถบันทึกการวินิจฉัย ทุ้งในรูปแบบข้อึวาใทั่วไป และในรูปของรหัสโรคและหัตถการได้\nสามารถลงบันทึกสั่ง Lab / X-Ray รวมทั้งสาสารถตรวจสอบผลการยั่งได้\nสามารถแสดงผล Lab ในลักษณะของกราฟได้\nวาสารถเรียกดูข้อมูลประวึติการตรวจย้อนหลังได้ ได้แก่ ประวัติการมารับบริการ การวินิจฉัย การสั่งจ่ายยา การสั่ง Lab/X-Ray การตรวจร่างกาย การนัดหมาย การ Admit\nสามารถบันทึกรายการนะดหมายผู้ป่วยล่วงหน้าได้หลายวันและแยกเป็นแผนกได้\nสามารถสั่ง Admit ผู้ป่วยนอกเป็นผู้ป่วยในได้\nสามารถส่งผู้ป่วยไปยังจุดบริการต่างๆ ได้\nสามารถพิมพ์ใบนัดหมายผู้ป่วยได้\nสามารถพิมพ์ใบรับรองแพทย์ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการตรวจร่างกายโดยก่รวาดรูปได้\nสามารุนำเข้ารูปถ่ายจากกล้องดิจิตอล ได้\nระบบงานืันตกรรม (Dental)\nสามารภแสดงีายชื่ดผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมายังห้องทันกรรมและเรียกผู้ป่วยมาทำการตรวจรักษาได้\nสามารถเรียกดูขัอมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามทรถเรียกดูปรดวัติกาคมารับลริการของผู้ป่วยได้\nสรมารถบันทึกข้อมูลการซักประวัติได้ เช่น Vktal Sign / Chief Complain\nสามารถบันทึกข้อมูลการให้บริการทันตกรรมได้\nสามารถบันทึกสั่งจ่ายยาได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการตรวจร่างกาย และ สสมารถวาดรูปบริเวณที่ให้การรักษาได้\nสามารถนำเข้ารูปฟันจากกล้องดิจิตอลได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการนัดหมายของแผนกทันตกรรมได้\nระบบงานห้องจ่ายยา (Dispensary)\nสามา่ถใช้ Hot Key ช่วยในการทำงานต่างๆ ได้\nสามารถสั่งยาโดยใช้ชื่ออื่นๆ นอกเหนือจาก Generic Name ได้\nสามารถสั่งยาโดยการดึงข้อมูลจากประวัติการใช้ยาเดืม ฟด้\nสามารถสั่งยาจ่กสูครการสั่งยาที่กำหนดไว้ได้\nสามารถเก็บเวลาที่จ่ายยาให้แก่ผู้ปีวย และนำมาประาวลผลระยะเวลารอคอยเฉลี่ยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลผู้ตรวจสอบและผู้จ่ายยาได้\nสามารถเตือนรายการยาที่ผู้ป่วยแพ้ และตรวจสดบการแพ้ยากับรายกมรยาในใบสั่งยาได้\nสามารถตั้งให้ตรวจสอบระดับขเงผู้สั่งยากับรายกรรยาฟด้\nสามารถตั้งให้ตรวจสอบสิทธิของผู้ป่วสกับยาบางรายการได้\nสามารถตั้งใหัตรวจสอบสิทธิของผู้สั่งยากับยาบางรายการได้\nสามารถแยกค่าใช้จ่ายและสรุปออกมาเป็น ยาในบัญชียาหลักกหรงชมติ ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ และยากลับบ้าน ได้\nสามารถสั่งยาผู้ป่วยใน ตามรูปแบบการจัดยาแบข One Day Dose หรือ Multiple Days Dose ได้\nสามารถบันทึกข้อมูบการให้คำแนะนำการใช้ยาแก่ผู้ป่วยได้\nระบบงานชันสูตร (Laboratory)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกสั่งตรวจ Lan ได้ และสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไดเ\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริการของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการรายงานผล Lab ได้\nสามารถออกแบบ แบบฟอร์มการสั่ง Lab เองได้\nสามารถกำหนดรายการ Lab แลเการคิดค่าบริการตรวจ Lab ต่างๆ ได้\nสามารถรายงานผล Lab ไปยังแพทย์ผู้ตรวจแบบ Online ได้\nสามารถสั่ง Lab หลายรายการได้\nสามารถตรวจสอบและเตือนรายกานที่มีค่าผิดปกติได้\nสามารถบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าทีื ที่เป็นคนทำ Lab ได้\nสามารถ ยืนยันผล และ Lock รายการผล Lab ได้\nสามารถตรวจสอบการเข้ามาอ่านผล Lab ได้\nยามารถปิดบังผล Lab ได้\nสามารถเชื่อมโยงกับระบบ LIS และส่งรายการ Request ไปยัง LIS และอ่านผลหลับมาได้ (ต้องมีการติดต่อประสานงานกับบริษัทที่พัฒนา LIS เพื่อตกลงรูปแบบการเชื่อมต่อด้วย)\nระบบงานห้องฉุกะฉิน (Emergenc5)\nสามารถบันทึกข้อมูลอุบัติเหตุได้ โดยข้อมูลที่บันทึกเป็นไปตามมาตรฐาตของ กองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข\nสามารถส่งออกข้อมูลอุบัติเหตุไปยังโปรแกรม IS ำด้\nมีระบบรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ ตามที่กระทรวงกำหนด\nสามารถบันาึกข้อมูลการทำงาส ณ ห้องฉุกเฉินได้ ได้แก่ การลงทะเบียนส่งตรวจ การสั่งจ่ายยา การลงผลวินิจฉัย การนัดหมาย การออกใบเสร็จรับเงิน การพิมพ์ใบสั่งยาและสติกเกอร์ยาได้จากห้องฉุกเฉิน\nสามารถลงรายการหัตถกาา และสรุปค่าใช้จ่ายได้\nสามารถเรียกดูรายงานสรุผผลแารปฏิงัติงาน ของห้องฉุกิฉินได้\nระบบงานแผสกผู้ป่วยใน (*n Patient)\nสามารถลงทะเบียนรับผู้ป่ววใหม่ โดยแยกรับเป็นรายหอผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการทำหุตถการของผู้ป่วยใจได้\nสามารถสั่งจ่ายยาของผู้ป่วยในไปยังห้องจ่ายยาได้ และสามาตถบันทึกเป็ส Profile แารใช้ยาของผู้ป่วยในได้\nสามารถลงผลการวินิจฉัส ตามมาตรฐาน รหัส ICD10\nสามารถคำนวนค่า Relative Weight ตามระบบ D$Gs ได้ในขั้นตอนการลงผลวินิจฉัยได้\nสามารถลงบึนทึกจำหน่าขคนไข้ และสรุปค่าใช้จ่าย ทั้งหมดของคนไข้ได้\nสามารถทำรายงานพื้นฐานตามที่กนะทรวงต้องการได้\nสามารถส่งออกข้อมูล DRGs ตามโครงสร้มง 12 แฟ้ม มาตรฐานได้\nสามารถบันทึกสั่ง Lab /X-Ray จากตึกผู้ป่วยในได้\nสามารถส่งผู้ป่วยไปยังห้องทันตกรรม/ ห้องผ่าตะด จากตึกผู้ป่วยในได้\nระบบงานห้องชำระเงิน (Cqshier(\nสามารถกำหนดวิธีการคิดค่ารักษาพยาบนลได้หลรยรูปแบบฏดยแสกตามสิทธิการรักษท และสามารถตั้งค่าส่วนลดแนกตามสิทธิการรักษาฟด้\nสามารถเชื่อมโวฝข้อมูลค่ารักษาพยาบาลจากหน้าห้องตรวจ ,ค่าตรวจปฏิบัติการจากห้อง Lab ,ค่าตรวจทางรังสี หรือค่ารักษาพยาบาลจากแผนกอื่นๆ มายังระบบการเงิน ได้โดยอัตโนมัติ\nาามารถเชื่อมโยวข้อมูลสิทธิการรักษาของผู้ป่วยจากระบบเวชระับียน มายีงระบบดารเงิน และสามารถแด้ไขสิืธิการรักษาจากห้องชำระเงินได้\nสามารถควบคุมและตรวจสอบการยกเลิกรายการค่ารักษาพยาบาล หรือการยกเลิหวบเสร็จ หรือเอกสารกสรรุบชำระเงินต่าง ๆ ได้\nสามารุบันทึกข้อมูลก่รค้างชำระได้\nสามารถบันทึกข้อมูลส่วนลดเงินสดได้\nส่มารถออกใบเสร็จรับเงินตามรูปดบยของสำนักงานปรถกันสังคมได้\nระบบงานรังสีวินิจฉัย (Radiology)\nสามารถแสดงรายชื่อผ๔้ป่วยที่ถูกสั่งตรวจ X-Rayได้ และสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้\nสรมารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริำารของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้แมูลการคายงานผล X-Ray ได้ และข้อมูลการใช้ ฟิล์ม ได้\nสามารถบันทึกย้อมูลฟิล์มเสียได้\nสามรถออกหมาบเลข XN และพ้มพ์ Sticker สำหรับติดซองใส่ฟิล์มได้\nสามารถกำหนดรายการ X-Ray และการคิดค่าบริการตรวจ X-Ray ต่างๆ ได้\nสามารถรายงานผล X-Rayไปยังแพทย์ผู้ตรวจแบบ Online ได้\nระบบงานบริหารเวชภัณฑ์ (Inventory)\nสามารถบันทึกข้อสูลบัญชียาของโรงดยาบาลได้\nสามารถบัาทึกขัอมูลรายการเบิก-จ่าย ยาออกจากคลังได้\nสามารถตรวจสอบ Stock – Card ของยาแต่ละรายการได้\nสามารถตรวจสอบรายการเวชภัณฑ์ที่เหลือน้อย และ รายกา่ที่ใกล้หมดอายุได้\nสามารถสรุปรายงานยอดการใช้ยาได้\nสามารถออกใบเสนอสั่งซื้อยาได้\nสามารถตรวจสอบปริมาณยาคงเหลือใน Sjb-Stock ได้ (*)\nระบบงานสารบรรณ (E-Document)\nสามารถบันทึกข้อมูลการรับเอกสารเข้างานสารบรรณได้\nสามารถ Scan เอกสารเข้ามาได้\nสามารถเวียนหนังสือไปยังแผนกต่างๆ ได้\nสามารถแนบแฟ้มไปพร้อมกับเอกสารที่เวียนได้\nสามารถค้นหาเอกสารเก่าได้\nสามารถตรวจสอบการเข้ามาอ่านเอกสารได้\nสามารถบันทึกผลการปฏิบัติงานในเอกสารที่เกี่ยฝข้องได้\nรถบบงานจัดการตารางนัดหมาย (Appoinyment and Personal Information Management)\nสามารถบันทึกข้อมูลตารางการทำงานที่จะต้องทำในแต่ละวันได้\nสามารถดสดงผลตารางงมนปัจจุบันได้ หลายรูปแบบ เช่น รายวัน รายอาทิตย์ กรือ รายเดือน\nสาสารถแสดงข้อมูลกสรนัดหมายในตาราฝการทำงานได้\nระบบเจ้นหน้าที่ผู้ดูแลระบบ (Acministration)\nสามารถกำหนดการตั้งค่าเริ่มต้นต่างๆ ได้\nสามารถบันทึก แก้ไข จ้อมธลทั่วไป เกี่ยวกับโรงพยาบาลได้\nสามารถกำหนดสิทธิของผู้ใช้งานได้ และสามารถกำหนดกลุ่มผู้ใช้งานได้\nสามารถยกเลิกผู้ป่วยจากระบบได้\nสามารพเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในฐานข้อมูล แชะส่งออกในรูปแบบต่างๆ ได้\nสามารถแก้ไขแบบฟอร์มรายงานต่างๆ และสามารถสร้างรายงานต้างๆ เองได้\nสามารถตรวจสอบ User Activity ได้\nสามารถเขียนประกาศข่าว และสามารถส่งข้อความเตือนผู้ใช้งานตามนุดต่างๆ ได้\nสามารถตรวจสอบรายชื่อปู้ที่กำลังเข้าใช้งานระบบได้\nสามารถ Download รายงานใหมทๆ จาก Web Services ได้\nสามารถสร้าง Script สำหรับส่งออกขือมูล หรือ นำเข้าข้อมูลจากหน่วยงานภายนอกได้\nสามารถตะ้งค่าการใช้งานโดยเลือกใช้งานกับฐานข้อมูลชนิด\n\n\nาามารถ Download โปรแกรมรุ่นใหม่มาติดจั้ง และตั้งค่าให้เครื่อง client ทำการ upgtade แบบอัตโนมัติได้\nสามารถกำหนดให้ผู้ใช้งานทำการ L9gout แบบอัตโนมัติได้หากไม่มีการทำงานในช่วงเวลาที่ตั้งเอาไว้\nระบบงานสำรองข้อมูล (Data Backup/Reclvery)\nสามารถทำหารสำรองข้อมูลจากเครื่องที่ใช้งานอยู่ได้\nสามารถทำการใำรองข้อมูลได้ทั้งแบบ Cold Backup และ Hot Backup\nสามารถทำการสำรองข้อมูลเฉพาะช่วงวันที่เลือกได้\nสามารถนำข้อมูลที่สำรองมสใช้งานได้\nสามารถะข้าระบบการสำรองข้อมูลแบบ Emergency Mode ได้\nสามารถตั้งค่าระบบการสำรองข้อมูลแบบ Online Replication ได้ (Multi-slade Asynchronous Replicati;n)\nมีระบบเตือนหากไม่ได้ทำการสำรองข้อมูลในช่วงระยะเวลาที่กำหนด\nระบบการแสดงประวีติผู้ป่วยผ่าน Web\nสามารถตั้งค่าระบบให้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Web browser เพื่อเข้าถึงประวัติผู้ป่วบ ได้ (ใช้ A[ache + PHP) พัศนาโดย ทีม IT รพ.มายอ จ.ปัตตานี\nสถาปัตยกรรม\nClient/Server (Tso-Tier)\nMulti-tier technology (Borland Datasnap)\nSCOM\nเครืรองมือที่ใช้ในการพัฒนา\nคอมไพเลอร์\n\nเดลไฟ และ ไคลิกซ็ (Delphi/Kylix)\n\nเครื่องมือพัฒนาจากแหล่งอื่น (3rd Party Component)\n\nFree Component\n\nZeoslib\nJEDI-VCL\nDCPCrypt\nZipMaster\nExtLib\nTDBF\nEzDicom\n\nCommercial Component\n\nReport Builder\nSSI Topaz\nKSDev SkinEngine\nDevExpress\nEurekaLog\nความต้องการขั้นต่ำของระบบ\nเครื่องแม่ข่าย\n\n\nหน่วยประมวลผลกลาง Pentiun 4/Xeon ความเร็วในการทำงานอย่างน้อย 2 กิกะเฮิรตซ์\nหน่วยคบามจำขั้นต่ำ 512 เมกะไบค์\nระบบปฏิบัติการ ลินุกซ์ หรือ ไมโครซอฟท์วินโดวส์\nหน่วยเก็บข้อมูล ชนิด SCSI หรือ IDE ความจุอย่างน้อย 40 กิกะไบต์\nหน่อยเชื่อมต่อระบบเครือข่าย (Ethernet Adapter) ความเร็วในการเชื่อมต่อ 10/100 เมกะบิตต่อวินาที\nเครื่องลูกข่าย\nหน่วยประมวลผลกลาง Pentium III/Celeron ความเร็วในการทำงานอย่างน้อย 400 เมกะเฮิรตซ์\nหน่วขคบามจำขั้นต่ำ 128 เมกะไบต์\nระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ 2000 หรือ วินโดวส์เอ๋กซ์พี\nหน่วยเก็บข้อมูล ชนิด SCSI หรือ IDE มีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 500 เมกะไบต๋\nหน่อยเชื่อมต่อระบบเครือข่าย (Ethernet Adapter) ความเร็วในการเชื่อมต่อ 10/100 เมกะบิตน่อวินาที\nตัวจัดการข้ิมูล\nMySQL รุ่น 4.0, 4.1, 5.0 หรือ 5.1\nPostgreSQL รุ่น 8.0 หรือ 7.1\nMicrosoft SQL รุ่ร 2000 หรือ 2005 หรือ MSDE\nOracle รุ่น 10g หรือ XE\nSQLite รุ่น 3.0\nInterbase รุ่น 7.0/7.5\nทีมงาน\nชัยพร สุรเตมีย์กุล ตำแหน่ง ผู้จัดการโครงการ , ผู้พัฒนาและออกแบบระบบ , ผู้ฝึกอบรม\nสุชัย อุดมคำ ตำแหน่ง ผู้ประสานงานโครงการ, ผู้ทดสอบระบบ, ผู้ฝึกอบรม\nสุมาลี เหรียญไพโรจน? ตำแหน่ง เลขานุการ, ผู้ประสานงานโครงการ, ผู้ดูแลการใช้งานและขึ้นระบบ\nทวี ทรัพย์คลัง ตำแหน่ง ผู้พัฒนาและออกแบบระบล, ผู้ทดสอบระลบ, ผู้ดูแลระงบ\nนาจ ะข็มแข็ง ตำแหน่ง ผู้ดูแลระบบ, ผู้ทดสอบระบบ\nกัมพล วิบูลย์ศักดิ์สกุล ตำแหน่ง ผู้ดูแลระบบ, ผู้ทดสอบระบบ, ผู้พัฒนาและออกแบบระบบ\nนพ.อรัญ รอกา ตำแหน่ง ทีมพัฒนาระบบ Weg EMR",
"role": "user"
},
{
"content": "ฮอสเอ๊กซ์พี (HOSxP) เป็น ซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันและเป็นซอฟต์แวร์เสรี สำหรับสถานพยาบาล สถานีอนามัย และโรงพยาบาล พัฒนาโดยบุคลากรที่อาสาสมัครมาจากหลายโรงพยาบาล มีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศ ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถนำไปใช้งานได้จริงทั้งในระดับสถานีอนามัย ไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ เริ่มพัฒนาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ปัจจุบันถูกใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย มากกว่า 60 แห่ง\nระบบงานและความสามารถ\nระบบงานเวชระเบียนผู้ป่วยนอก (Register)\n\nสามารถบันทึกข้อมูลประวัติส่วนตัวตามแบบ รบ.1ต.01\nสามารถบันทึกข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของ ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, สิทธิการรักษาของคนไข้\nสามารถ นำเข้า ฐานข้อมูลประชากร ของกระทรวงได้\nสามารถบันทึกรูปผู้ป่วยได้ โดยการนำเข้าจากเครื่อง Scanner หรือจากอุปกรณ์ Webcam/Digital Camera\nสามารถบันทึกข้อมูลการแพ้ยาได้\nสามารถบันทึกผู้ป่วยเข้าระบบคลินิกพิเศษโรคเรื้อรังเพื่อติดตามผลได้ เช่น โรคเบาหวาน/ ความดัน\nสามารถค้นหาประวัติคนไข้เก่าโดยค้นหาจาก หมายเลข HN, ชื่อ, นามสกุล,ชื่อและนามสกุล ,CID, ที่อยู่ ได้\nสามารถลงทะเบียนคนไข้ใหม่และออก HN ใหม่ให้ได้โดยอัตโนมัติ\nสามารถกำหนด HN ใหม่เองได้ และตั้งหมายเลขของ HN ที่ต้องการเริ่มใหม่ได้\nสามารถจัดรูปแบบการพิมพ์ OPD Card, บัตรประจำตัวคนไข้, ใบตรวจรักษาต่างๆ ได้\nสามารถส่งรายชื่อคนไข้ไปรอตรวจที่หน่วยต่างๆ ได้ เช่น พยาบาลหน้าห้องตรวจ, ห้องทันตกรรม\nสามารถบันทึกข้อมูลการส่งต่อไปตรวจรักษายังสถานบริการอื่น หรือรับผู้ป่วยที่ส่งจากสถานบริการอื่นได้\nสามารถค้นหารหัส ICD-10 โดยใช้คำสำคัญ ได้ และ สามารถตรวจสอบรูปแบบการลงรหัส ICD ที่ผิดพลาดได้\nสามารถค้นหาข้อมูลแบบกำหนดเงื่อนไขเองได้ ( Custom Search)\nสามารถตรวจสอบประวัติการเปลี่ยนแปลงชื่อได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการเสียชีวิต ตามแบบฟอร์มการเสียชีวิต ได้\nสามารถบันทึกข้อความและสามารถตั้งให้ระบบแสดงข้อความนี้เตือนตามจุดต่างๆ ได้\nสามารถทำรายงานพื้นฐานตามที่กระทรวงต้องการได้\nสามารถส่งออกข้อมูลโรคที่ต้องเฝ้าระวังไปยังฐานข้อมูลของโปรแกรม EPIDEM ได้\nสามารถบันทึกการยืม/คืน แฟ้มเวชระเบียนผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการนัดหมาย ตรวจสอบรายการนัดหมาย และพิมพ์รายการนัดหมายเพื่อนำไปค้นแฟ้มเวชระเบียนได้\nสามารถตรวจสอบสิทธิผู้ป่วย Online จาก Homepage ของ สปสช. ได้\nสามารถ Scan แฟ้มเวชระเบียน หรือข้อมูลอื่นๆ ในลักษณะที่เป็นรูปภาพ เก็บไว้กับประวัติการมารับบริการได้\nระบบงานซักประวัติ (Screening)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมายังจุดซักประวัติและเรียกผู้ป่วยมาทำการซักประวัติได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริการของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการซักประวัติได้ เช่น Vital Sign / Chief Complain\nสามารถบันทึกสั่งจ่ายยาได้\nสามารถบันทึกรายการนัดหมายล่วงหน้าได้\nสามารถบันทึกสั่ง Lab / X-Ray ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการส่งต่อไปยังสถานบริการอื่นๆ ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานได้\nสามารถนำเข้าผล Lab ในกรณีที่มีการบันทึกผล จากระบบชันสูตรได้ เช่น ค่า FBS\nสามารถบันทึกผู้ป่วยไปยังจุดให้บริการอื่นๆ ได้\nระบบงานตรวจรักษา (Doctor)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมายังห้องตรวจโรคและทำการเรียกผู้ป่วยมาทำการตรวจรักษา\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการซักประวัติและตรวจร่างกายได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลการตรวจร่างกายเบื้องต้นได้\nสามารถสั่งจ่ายยาแบบ RE-MED ได้\nสามารถสั่งจ่ายยาโดยการกำหนดเป็นสูตรใช้ยาได้\nสามารถตรวจสอบรายการยาที่สั่งจ่ายและเตือนในกรณีที่มียาที่ผู้ป่วยแพ้ได้\nสามารถตรวจสอบการเกิดอันตกริยาต่อกันของยาในใบสั่งยาได้ (Drug Interaction)\nสามารถบันทึกการวินิจฉัย ทั้งในรูปแบบข้อความทั่วไป และในรูปของรหัสโรคและหัตถการได้\nสามารถลงบันทึกสั่ง Lab / X-Ray รวมทั้งสามารถตรวจสอบผลการสั่งได้\nสามารถแสดงผล Lab ในลักษณะของกราฟได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลประวัติการตรวจย้อนหลังได้ ได้แก่ ประวัติการมารับบริการ การวินิจฉัย การสั่งจ่ายยา การสั่ง Lab/X-Ray การตรวจร่างกาย การนัดหมาย การ Admit\nสามารถบันทึกรายการนัดหมายผู้ป่วยล่วงหน้าได้หลายวันและแยกเป็นแผนกได้\nสามารถสั่ง Admit ผู้ป่วยนอกเป็นผู้ป่วยในได้\nสามารถส่งผู้ป่วยไปยังจุดบริการต่างๆ ได้\nสามารถพิมพ์ใบนัดหมายผู้ป่วยได้\nสามารถพิมพ์ใบรับรองแพทย์ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการตรวจร่างกายโดยการวาดรูปได้\nสามารถนำเข้ารูปถ่ายจากกล้องดิจิตอล ได้\nระบบงานทันตกรรม (Dental)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมายังห้องทันกรรมและเรียกผู้ป่วยมาทำการตรวจรักษาได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริการของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการซักประวัติได้ เช่น Vital Sign / Chief Complain\nสามารถบันทึกข้อมูลการให้บริการทันตกรรมได้\nสามารถบันทึกสั่งจ่ายยาได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการตรวจร่างกาย และ สามารถวาดรูปบริเวณที่ให้การรักษาได้\nสามารถนำเข้ารูปฟันจากกล้องดิจิตอลได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการนัดหมายของแผนกทันตกรรมได้\nระบบงานห้องจ่ายยา (Dispensary)\nสามารถใช้ Hot Key ช่วยในการทำงานต่างๆ ได้\nสามารถสั่งยาโดยใช้ชื่ออื่นๆ นอกเหนือจาก Generic Name ได้\nสามารถสั่งยาโดยการดึงข้อมูลจากประวัติการใช้ยาเดิม ได้\nสามารถสั่งยาจากสูตรการสั่งยาที่กำหนดไว้ได้\nสามารถเก็บเวลาที่จ่ายยาให้แก่ผู้ป่วย และนำมาประมวลผลระยะเวลารอคอยเฉลี่ยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลผู้ตรวจสอบและผู้จ่ายยาได้\nสามารถเตือนรายการยาที่ผู้ป่วยแพ้ และตรวจสอบการแพ้ยากับรายการยาในใบสั่งยาได้\nสามารถตั้งให้ตรวจสอบระดับของผู้สั่งยากับรายการยาได้\nสามารถตั้งให้ตรวจสอบสิทธิของผู้ป่วยกับยาบางรายการได้\nสามารถตั้งให้ตรวจสอบสิทธิของผู้สั่งยากับยาบางรายการได้\nสามารถแยกค่าใช้จ่ายและสรุปออกมาเป็น ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ และยากลับบ้าน ได้\nสามารถสั่งยาผู้ป่วยใน ตามรูปแบบการจัดยาแบบ One Day Dose หรือ Multiple Days Dose ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการให้คำแนะนำการใช้ยาแก่ผู้ป่วยได้\nระบบงานชันสูตร (Laboratory)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกสั่งตรวจ Lab ได้ และสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริการของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการรายงานผล Lab ได้\nสามารถออกแบบ แบบฟอร์มการสั่ง Lab เองได้\nสามารถกำหนดรายการ Lab และการคิดค่าบริการตรวจ Lab ต่างๆ ได้\nสามารถรายงานผล Lab ไปยังแพทย์ผู้ตรวจแบบ Online ได้\nสามารถสั่ง Lab หลายรายการได้\nสามารถตรวจสอบและเตือนรายการที่มีค่าผิดปกติได้\nสามารถบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่เป็นคนทำ Lab ได้\nสามารถ ยืนยันผล และ Lock รายการผล Lab ได้\nสามารถตรวจสอบการเข้ามาอ่านผล Lab ได้\nสามารถปิดบังผล Lab ได้\nสามารถเชื่อมโยงกับระบบ LIS และส่งรายการ Request ไปยัง LIS และอ่านผลกลับมาได้ (ต้องมีการติดต่อประสานงานกับบริษัทที่พัฒนา LIS เพื่อตกลงรูปแบบการเชื่อมต่อด้วย)\nระบบงานห้องฉุกเฉิน (Emergency)\nสามารถบันทึกข้อมูลอุบัติเหตุได้ โดยข้อมูลที่บันทึกเป็นไปตามมาตรฐานของ กองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข\nสามารถส่งออกข้อมูลอุบัติเหตุไปยังโปรแกรม IS ได้\nมีระบบรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ ตามที่กระทรวงกำหนด\nสามารถบันทึกข้อมูลการทำงาน ณ ห้องฉุกเฉินได้ ได้แก่ การลงทะเบียนส่งตรวจ การสั่งจ่ายยา การลงผลวินิจฉัย การนัดหมาย การออกใบเสร็จรับเงิน การพิมพ์ใบสั่งยาและสติกเกอร์ยาได้จากห้องฉุกเฉิน\nสามารถลงรายการหัตถการ และสรุปค่าใช้จ่ายได้\nสามารถเรียกดูรายงานสรุปผลการปฏิบัติงาน ของห้องฉุกเฉินได้\nระบบงานแผนกผู้ป่วยใน (In Patient)\nสามารถลงทะเบียนรับผู้ป่วยใหม่ โดยแยกรับเป็นรายหอผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการทำหัตถการของผู้ป่วยในได้\nสามารถสั่งจ่ายยาของผู้ป่วยในไปยังห้องจ่ายยาได้ และสามารถบันทึกเป็น Profile การใช้ยาของผู้ป่วยในได้\nสามารถลงผลการวินิจฉัย ตามมาตรฐาน รหัส ICD10\nสามารถคำนวนค่า Relative Weight ตามระบบ DRGs ได้ในขั้นตอนการลงผลวินิจฉัยได้\nสามารถลงบันทึกจำหน่ายคนไข้ และสรุปค่าใช้จ่าย ทั้งหมดของคนไข้ได้\nสามารถทำรายงานพื้นฐานตามที่กระทรวงต้องการได้\nสามารถส่งออกข้อมูล DRGs ตามโครงสร้าง 12 แฟ้ม มาตรฐานได้\nสามารถบันทึกสั่ง Lab /X-Ray จากตึกผู้ป่วยในได้\nสามารถส่งผู้ป่วยไปยังห้องทันตกรรม/ ห้องผ่าตัด จากตึกผู้ป่วยในได้\nระบบงานห้องชำระเงิน (Cashier)\nสามารถกำหนดวิธีการคิดค่ารักษาพยาบาลได้หลายรูปแบบโดยแยกตามสิทธิการรักษา และสามารถตั้งค่าส่วนลดแยกตามสิทธิการรักษาได้\nสามารถเชื่อมโยงข้อมูลค่ารักษาพยาบาลจากหน้าห้องตรวจ ,ค่าตรวจปฏิบัติการจากห้อง Lab ,ค่าตรวจทางรังสี หรือค่ารักษาพยาบาลจากแผนกอื่นๆ มายังระบบการเงิน ได้โดยอัตโนมัติ\nสามารถเชื่อมโยงข้อมูลสิทธิการรักษาของผู้ป่วยจากระบบเวชระเบียน มายังระบบการเงิน และสามารถแก้ไขสิทธิการรักษาจากห้องชำระเงินได้\nสามารถควบคุมและตรวจสอบการยกเลิกรายการค่ารักษาพยาบาล หรือการยกเลิกใบเสร็จ หรือเอกสารการรับชำระเงินต่าง ๆ ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการค้างชำระได้\nสามารถบันทึกข้อมูลส่วนลดเงินสดได้\nสามารถออกใบเสร็จรับเงินตามรูปแบบของสำนักงานประกันสังคมได้\nระบบงานรังสีวินิจฉัย (Radiology)\nสามารถแสดงรายชื่อผู้ป่วยที่ถูกสั่งตรวจ X-Rayได้ และสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้\nสามารถเรียกดูข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยได้\nสามารถเรียกดูประวัติการมารับบริการของผู้ป่วยได้\nสามารถบันทึกข้อมูลการรายงานผล X-Ray ได้ และข้อมูลการใช้ ฟิล์ม ได้\nสามารถบันทึกข้อมูลฟิล์มเสียได้\nสามรถออกหมายเลข XN และพิมพ์ Sticker สำหรับติดซองใส่ฟิล์มได้\nสามารถกำหนดรายการ X-Ray และการคิดค่าบริการตรวจ X-Ray ต่างๆ ได้\nสามารถรายงานผล X-Rayไปยังแพทย์ผู้ตรวจแบบ Online ได้\nระบบงานบริหารเวชภัณฑ์ (Inventory)\nสามารถบันทึกข้อมูลบัญชียาของโรงพยาบาลได้\nสามารถบันทึกข้อมูลรายการเบิก-จ่าย ยาออกจากคลังได้\nสามารถตรวจสอบ Stock – Card ของยาแต่ละรายการได้\nสามารถตรวจสอบรายการเวชภัณฑ์ที่เหลือน้อย และ รายการที่ใกล้หมดอายุได้\nสามารถสรุปรายงานยอดการใช้ยาได้\nสามารถออกใบเสนอสั่งซื้อยาได้\nสามารถตรวจสอบปริมาณยาคงเหลือใน Sub-Stock ได้ (*)\nระบบงานสารบรรณ (E-Document)\nสามารถบันทึกข้อมูลการรับเอกสารเข้างานสารบรรณได้\nสามารถ Scan เอกสารเข้ามาได้\nสามารถเวียนหนังสือไปยังแผนกต่างๆ ได้\nสามารถแนบแฟ้มไปพร้อมกับเอกสารที่เวียนได้\nสามารถค้นหาเอกสารเก่าได้\nสามารถตรวจสอบการเข้ามาอ่านเอกสารได้\nสามารถบันทึกผลการปฏิบัติงานในเอกสารที่เกี่ยวข้องได้\nระบบงานจัดการตารางนัดหมาย (Appointment and Personal Information Management)\nสามารถบันทึกข้อมูลตารางการทำงานที่จะต้องทำในแต่ละวันได้\nสามารถแสดงผลตารางงานปัจจุบันได้ หลายรูปแบบ เช่น รายวัน รายอาทิตย์ หรือ รายเดือน\nสามารถแสดงข้อมูลการนัดหมายในตารางการทำงานได้\nระบบเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบ (Administration)\nสามารถกำหนดการตั้งค่าเริ่มต้นต่างๆ ได้\nสามารถบันทึก แก้ไข ข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับโรงพยาบาลได้\nสามารถกำหนดสิทธิของผู้ใช้งานได้ และสามารถกำหนดกลุ่มผู้ใช้งานได้\nสามารถยกเลิกผู้ป่วยจากระบบได้\nสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในฐานข้อมูล และส่งออกในรูปแบบต่างๆ ได้\nสามารถแก้ไขแบบฟอร์มรายงานต่างๆ และสามารถสร้างรายงานต่างๆ เองได้\nสามารถตรวจสอบ User Activity ได้\nสามารถเขียนประกาศข่าว และสามารถส่งข้อความเตือนผู้ใช้งานตามจุดต่างๆ ได้\nสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ที่กำลังเข้าใช้งานระบบได้\nสามารถ Download รายงานใหม่ๆ จาก Web Services ได้\nสามารถสร้าง Script สำหรับส่งออกข้อมูล หรือ นำเข้าข้อมูลจากหน่วยงานภายนอกได้\nสามารถตั้งค่าการใช้งานโดยเลือกใช้งานกับฐานข้อมูลชนิด\n\n\nสามารถ Download โปรแกรมรุ่นใหม่มาติดตั้ง และตั้งค่าให้เครื่อง client ทำการ upgrade แบบอัตโนมัติได้\nสามารถกำหนดให้ผู้ใช้งานทำการ Logout แบบอัตโนมัติได้หากไม่มีการทำงานในช่วงเวลาที่ตั้งเอาไว้\nระบบงานสำรองข้อมูล (Data Backup/Recovery)\nสามารถทำการสำรองข้อมูลจากเครื่องที่ใช้งานอยู่ได้\nสามารถทำการสำรองข้อมูลได้ทั้งแบบ Cold Backup และ Hot Backup\nสามารถทำการสำรองข้อมูลเฉพาะช่วงวันที่เลือกได้\nสามารถนำข้อมูลที่สำรองมาใช้งานได้\nสามารถเข้าระบบการสำรองข้อมูลแบบ Emergency Mode ได้\nสามารถตั้งค่าระบบการสำรองข้อมูลแบบ Online Replication ได้ (Multi-slave Asynchronous Replication)\nมีระบบเตือนหากไม่ได้ทำการสำรองข้อมูลในช่วงระยะเวลาที่กำหนด\nระบบการแสดงประวัติผู้ป่วยผ่าน Web\nสามารถตั้งค่าระบบให้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Web browser เพื่อเข้าถึงประวัติผู้ป่วย ได้ (ใช้ Apache + PHP) พัฒนาโดย ทีม IT รพ.มายอ จ.ปัตตานี\nสถาปัตยกรรม\nClient/Server (Two-Tier)\nMulti-tier technology (Borland Datasnap)\nDCOM\nเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา\nคอมไพเลอร์\n\nเดลไฟ และ ไคลิกซ์ (Delphi/Kylix)\n\nเครื่องมือพัฒนาจากแหล่งอื่น (3rd Party Component)\n\nFree Component\n\nZeoslib\nJEDI-VCL\nDCPCrypt\nZipMaster\nExtLib\nTDBF\nEzDicom\n\nCommercial Component\n\nReport Builder\nSSI Topaz\nKSDev SkinEngine\nDevExpress\nEurekaLog\nความต้องการขั้นต่ำของระบบ\nเครื่องแม่ข่าย\n\n\nหน่วยประมวลผลกลาง Pentium 4/Xeon ความเร็วในการทำงานอย่างน้อย 2 กิกะเฮิรตซ์\nหน่วยความจำขั้นต่ำ 512 เมกะไบต์\nระบบปฏิบัติการ ลินุกซ์ หรือ ไมโครซอฟท์วินโดวส์\nหน่วยเก็บข้อมูล ชนิด SCSI หรือ IDE ความจุอย่างน้อย 40 กิกะไบต์\nหน่อยเชื่อมต่อระบบเครือข่าย (Ethernet Adapter) ความเร็วในการเชื่อมต่อ 10/100 เมกะบิตต่อวินาที\nเครื่องลูกข่าย\nหน่วยประมวลผลกลาง Pentium III/Celeron ความเร็วในการทำงานอย่างน้อย 400 เมกะเฮิรตซ์\nหน่วยความจำขั้นต่ำ 128 เมกะไบต์\nระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ 2000 หรือ วินโดวส์เอ็กซ์พี\nหน่วยเก็บข้อมูล ชนิด SCSI หรือ IDE มีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 500 เมกะไบต์\nหน่อยเชื่อมต่อระบบเครือข่าย (Ethernet Adapter) ความเร็วในการเชื่อมต่อ 10/100 เมกะบิตต่อวินาที\nตัวจัดการข้อมูล\nMySQL รุ่น 4.0, 4.1, 5.0 หรือ 5.1\nPostgreSQL รุ่น 8.0 หรือ 8.1\nMicrosoft SQL รุ่น 2000 หรือ 2005 หรือ MSDE\nOracle รุ่น 10g หรือ XE\nSQLite รุ่น 3.0\nInterbase รุ่น 7.0/7.5\nทีมงาน\nชัยพร สุรเตมีย์กุล ตำแหน่ง ผู้จัดการโครงการ , ผู้พัฒนาและออกแบบระบบ , ผู้ฝึกอบรม\nสุชัย อุดมคำ ตำแหน่ง ผู้ประสานงานโครงการ, ผู้ทดสอบระบบ, ผู้ฝึกอบรม\nสุมาลี เหรียญไพโรจน์ ตำแหน่ง เลขานุการ, ผู้ประสานงานโครงการ, ผู้ดูแลการใช้งานและขึ้นระบบ\nทวี ทรัพย์คลัง ตำแหน่ง ผู้พัฒนาและออกแบบระบบ, ผู้ทดสอบระบบ, ผู้ดูแลระบบ\nนาจ เข็มแข็ง ตำแหน่ง ผู้ดูแลระบบ, ผู้ทดสอบระบบ\nกัมพล วิบูลย์ศักดิ์สกุล ตำแหน่ง ผู้ดูแลระบบ, ผู้ทดสอบระบบ, ผู้พัฒนาและออกแบบระบบ\nนพ.อรัญ รอกา ตำแหน่ง ทีมพัฒนาระบบ Web EMR",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ในปัจจุบันได้มีการคิดค้สอัลกอริทึมหลายอย่างสำหรับแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ออกไป เพื่อออกแบบอัลกอริทึมสำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ คุณอาจจะถามตัวเองว่า ปัญหาชนิดไหรสามารถแก้ได้ด้วย divide-and-conquer, dynamic programming, freedy techniques ำรือ อัลกอริทึมอื่น ๆ\n\n/การแบ่งแยกดละเอาชนะ\n/กำหนดการพลวัต\n/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ",
"role": "user"
},
{
"content": "ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นอัลกอริทึมหลายอย่างสำหรับแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ออกไป เพื่อออกแบบอัลกอริทึมสำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ คุณอาจจะถามตัวเองว่า ปัญหาชนิดไหนสามารถแก้ได้ด้วย divide-and-conquer, dynamic programming, greedy techniques หรือ อัลกอริทึมอื่น ๆ\n\n/การแบ่งแยกและเอาชนะ\n/กำหนดการพลวัต\n/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คันจิ คืออักษรจันซึ่งภาษาญี่ปุ่นได้นำเข้ามาใช้เเทนคำในภาษาญี่ปุืน เพื่อเพิ่มความสวยงามของภาษาให้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น",
"role": "user"
},
{
"content": "คันจิ คืออักษรจีนซึ่งภาษาญี่ปุ่นได้นำเข้ามาใช้เเทนคำในภาษาญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มความสวยงามของภาษาให้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "สารยัญ\n\nตัวอักษร\nการออกเสียง\nบทเรียน\nบทเรียน 1\nดูเพิ่ม\nคันจิ",
"role": "user"
},
{
"content": "สารบัญ\n\nตัวอักษร\nการออกเสียง\nบทเรียน\nบทเรียน 1\nดูเพิ่ม\nคันจิ",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "บทเรียน\nข้อความ\nศึกษาเพิ่ม",
"role": "user"
},
{
"content": "บทเรียน\nข้อความ\nศึกษาเพิ่ม",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คำสั่ง touch เป็นการสร้างไฟล์ใหม้หรือแก้ไขไฟล์\ntouch --help\n-a change only the access time\n-c, --no-create do not create any files\n-d, --da4e=STRING parse STRING and use it insteqd of current time\n-f (ignored)\n-m change only the modification time\n-r, --reference=FILE use this file's times inatead of current gime\n-t STAMP use [[CC]YY]MMDDhtmm[.ss] instead of current time\n--time=WORD set time given by WORD: access atime use (same as -a)\nmodifh mtime (same as -m)\n--help display this help and exit\n--verxion output versioh information and exit\nนารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานเ์ไลน์\n\n[[/snes9x|snes9x]]\n[[/p7z|7zip]]\n[[/ntop|ntop]]\nโปรแกรม่ั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\n[[/synaptic|Symaptic]]\nคำสั่งพิ้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\n[[/cp|cp]]\n[[/mv|mv]]\n[[/mkidr|mkdir]]\n[[/touch|touch]]\n[[/ls|ls]]\n[[/rm|rm]]\n[[/chmod|chmod]]\n[[/chown|chown]]\nการปรับแต่งระบบ\n[[/ปรับแต่ง Gnome|ปรับแต่ง Gnome]]\n[[/ปรับแต่ง KDE|ปรับแต่ง KDE]]\n[[/ตั้งเง็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP|ตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วข LAMP]]\nทำความเยีาใจกับลินุกซ์\n[[/permission|เปอร์มิชชั่น]]\n[[/shell|Shell]]\n[[/kermel|Kernel]]",
"role": "user"
},
{
"content": "คำสั่ง touch เป็นการสร้างไฟล์ใหม่หรือแก้ไขไฟล์\ntouch --help\n-a change only the access time\n-c, --no-create do not create any files\n-d, --date=STRING parse STRING and use it instead of current time\n-f (ignored)\n-m change only the modification time\n-r, --reference=FILE use this file's times instead of current time\n-t STAMP use [[CC]YY]MMDDhhmm[.ss] instead of current time\n--time=WORD set time given by WORD: access atime use (same as -a)\nmodify mtime (same as -m)\n--help display this help and exit\n--version output version information and exit\nสารบัญ\nโปรแกรมที่ต้องใช้ผ่านคอมมานด์ไลน์\n\n[[/snes9x|snes9x]]\n[[/p7z|7zip]]\n[[/ntop|ntop]]\nโปรแกรมทั่วไป ที่ทำงานบนลินุกซ์\n[[/synaptic|Synaptic]]\nคำสั่งพื้นฐานของยูนิกซ์และเชลล์\n[[/cp|cp]]\n[[/mv|mv]]\n[[/mkidr|mkdir]]\n[[/touch|touch]]\n[[/ls|ls]]\n[[/rm|rm]]\n[[/chmod|chmod]]\n[[/chown|chown]]\nการปรับแต่งระบบ\n[[/ปรับแต่ง Gnome|ปรับแต่ง Gnome]]\n[[/ปรับแต่ง KDE|ปรับแต่ง KDE]]\n[[/ตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP|ตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ด้วย LAMP]]\nทำความเข้าใจกับลินุกซ์\n[[/permission|เปอร์มิชชั่น]]\n[[/shell|Shell]]\n[[/kernel|Kernel]]",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "วิกิตำราภาษาบาลีนี้นำเสนอหลักบาลีไวยากรณ์ แม้จะอ้างอิงจากตำราดั้งเดิม\nแต่ก็ได้พยายามเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ให้กระชับและสามารถเข้าใจๆด้ล่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น\nเพื่อไม่ให้ภาษาบาลีเป็นเพียงเรื่องของพระหรือคนวัดเท่านั้น\nแต่บะคคลทั่วไปก็สามาคถเข้ามาศึกษาได้ในฐานะภาษสที่น่าสนใจอีกภาษาหนึ่ง\nแบบเรียน\n\nภาษาบาลีสำหรับผู้เริ่มตัน\nสรุปไวยากรณ์\n\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยารหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocab6lary)\nเรียบเรียงจาก\n\n\nสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ?หลักสูตรเปรึยญธรรมตรี\nCharles Duroiselle, A Practical Grammar of the Pāli Labguage 3rd Edition, 1997",
"role": "user"
},
{
"content": "วิกิตำราภาษาบาลีนี้นำเสนอหลักบาลีไวยากรณ์ แม้จะอ้างอิงจากตำราดั้งเดิม\nแต่ก็ได้พยายามเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ให้กระชับและสามารถเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น\nเพื่อไม่ให้ภาษาบาลีเป็นเพียงเรื่องของพระหรือคนวัดเท่านั้น\nแต่บุคคลทั่วไปก็สามารถเข้ามาศึกษาได้ในฐานะภาษาที่น่าสนใจอีกภาษาหนึ่ง\nแบบเรียน\n\nภาษาบาลีสำหรับผู้เริ่มต้น\nสรุปไวยากรณ์\n\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)\nเรียบเรียงจาก\n\n\nสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ์หลักสูตรเปรียญธรรมตรี\nCharles Duroiselle, A Practical Grammar of the Pāli Language 3rd Edition, 1997",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "พยัญชนะและสระ\nพยัญชนะและสระ.\nอักษรภาษาบาลีนั้นเป็ยอย่างไร ไม่มีใรรรู้ เพราถได้สาบสูญไปนานมากแล้ว \nในภายหลังเมื่อชนลาติใดจะนำภาษาบาลีไปใช้ ก็เพียงแต่นำเสียงหรือคำพูดไปใช้เท่านั้น \nวิธีการเขียนหรือสะกดก็จะเป็นเรื่องของชนชาตินั้านำอักษรขอฝคนไปใช้เอง ในที่นี้ขอแสดงการอขียนคำในภาษาบาลีด้วยอักษรไทยและอักษรโรมัน\nเสียงพยัญชนะในภาษาบาลีมีอยู่ 33 ตัว และสระ 8 ตัวดังนี้ \nพยัญชนะ\nพยัญชนะ.\nมีพยัญชนะที่จัดเช้าวรรคไม่ได้อีกคือ อัฒสระ 4 ตัว ย. ร, ล, ว (y, r, l, v) และที่เหลือ ส, ฬ, ห, และ -ํ (นิคคหิต) (s, ḷ, h, ṁ) ดังตาราง\nตารางที่ 2 คือเศษวรรค\nสระ\nสระ.\nมีสระที่จัดเข้าวรรณะไม่ได้อีกคือ เศณวรรณะ 2 ตัว คือ เ- และ โ-\nช่องที่ 3 คือเศษวรรณะ\nวิธีเขึบนและอ่านออดเสียงในภาษาไทย(เช่น เอวนฺเตสุ อญฺญมญฺญํ สมฺโมทนียํ กถํ กเถนฺเตนุมกฺโก)อ่านคำในภาษาไทย(เช่น เอวันเตสุ อัญญมัญญัง สัมโมทนียัง กะถัง กเถนะเตสุ สักโก)\nวิธีเบียนและอ่านออกเสียงในภาษาไทย(เช่น เอวนฺเตสุ อญฺญมญฺญํ สมฺโมทนียํ กถํ กเถนฺเตสุสกฺโก)อ่านคำในพาษาไทย(เช่น เอวันเตสุ อัญญมัญญัง สัมโมทนียัง กะถัง กเถนะเตสุ สักโก).\nการใช้ตัวอักษรไทยเขียนภ่ษาบาลีนั้นสังเขียนได้สองแบบ หนึ่งคือเขียนตัวอักษรตามเสียงพยัญชนะ (เช่น พุทฺธ, ธมฺม, พฺรหฺม) \nสองคือเขียนตามคำอ่านในภาษาไทย (เช่น พุทธะ, ธีมมะ, พ๎รัห๎มะ) ในที่นี้จะขอใช้ทั้งสองแบบ โดยนะใช้แบบแรปสำหนับการยกตัวอย่างคำบาลีในเนื้อหาบทเรียน และใช้แบบที่สองสำหรับคำบาลีที่จะเขียนในหัวข้อของบทเรียน\nสำหรับการอ่านออกเสียงนั้น เนื่องจากเราใช้ตัวอักษรไทย เราก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าแต่ละตัวจะต้องอ่านออกเสียงว่าอย่างไร \nส่วนตัวนิคคหิตนั้น จะัป็นตัวเสียงนาสิก ออกเสียงคล้าย /อัง/ เช่น เขียนว่า พุทฺธํ อ่านว่า /พุทธัง/เอวนฺเตสุ อ่านว่า/\nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคัณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Proniuns)\nอาขยาตหรือคำกริสา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinab;es)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Focabulary)",
"role": "user"
},
{
"content": "พยัญชนะและสระ\nพยัญชนะและสระ.\nอักษรภาษาบาลีนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ เพราะได้สาบสูญไปนานมากแล้ว \nในภายหลังเมื่อชนชาติใดจะนำภาษาบาลีไปใช้ ก็เพียงแต่นำเสียงหรือคำพูดไปใช้เท่านั้น \nวิธีการเขียนหรือสะกดก็จะเป็นเรื่องของชนชาตินั้นนำอักษรของตนไปใช้เอง ในที่นี้ขอแสดงการเขียนคำในภาษาบาลีด้วยอักษรไทยและอักษรโรมัน\nเสียงพยัญชนะในภาษาบาลีมีอยู่ 33 ตัว และสระ 8 ตัวดังนี้ \nพยัญชนะ\nพยัญชนะ.\nมีพยัญชนะที่จัดเข้าวรรคไม่ได้อีกคือ อัฒสระ 4 ตัว ย, ร, ล, ว (y, r, l, v) และที่เหลือ ส, ฬ, ห, และ -ํ (นิคคหิต) (s, ḷ, h, ṁ) ดังตาราง\nตารางที่ 2 คือเศษวรรค\nสระ\nสระ.\nมีสระที่จัดเข้าวรรณะไม่ได้อีกคือ เศษวรรณะ 2 ตัว คือ เ- และ โ-\nช่องที่ 3 คือเศษวรรณะ\nวิธีเขียนและอ่านออกเสียงในภาษาไทย(เช่น เอวนฺเตสุ อญฺญมญฺญํ สมฺโมทนียํ กถํ กเถนฺเตสุสกฺโก)อ่านคำในภาษาไทย(เช่น เอวันเตสุ อัญญมัญญัง สัมโมทนียัง กะถัง กเถนะเตสุ สักโก)\nวิธีเขียนและอ่านออกเสียงในภาษาไทย(เช่น เอวนฺเตสุ อญฺญมญฺญํ สมฺโมทนียํ กถํ กเถนฺเตสุสกฺโก)อ่านคำในภาษาไทย(เช่น เอวันเตสุ อัญญมัญญัง สัมโมทนียัง กะถัง กเถนะเตสุ สักโก).\nการใช้ตัวอักษรไทยเขียนภาษาบาลีนั้นยังเขียนได้สองแบบ หนึ่งคือเขียนตัวอักษรตามเสียงพยัญชนะ (เช่น พุทฺธ, ธมฺม, พฺรหฺม) \nสองคือเขียนตามคำอ่านในภาษาไทย (เช่น พุทธะ, ธัมมะ, พ๎รัห๎มะ) ในที่นี้จะขอใช้ทั้งสองแบบ โดยจะใช้แบบแรกสำหรับการยกตัวอย่างคำบาลีในเนื้อหาบทเรียน และใช้แบบที่สองสำหรับคำบาลีที่จะเขียนในหัวข้อของบทเรียน\nสำหรับการอ่านออกเสียงนั้น เนื่องจากเราใช้ตัวอักษรไทย เราก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าแต่ละตัวจะต้องอ่านออกเสียงว่าอย่างไร \nส่วนตัวนิคคหิตนั้น จะเป็นตัวเสียงนาสิก ออกเสียงคล้าย /อัง/ เช่น เขียนว่า พุทฺธํ อ่านว่า /พุทธัง/เอวนฺเตสุ อ่านว่า/\nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คำนาม คือคำที่ใช้กล่าวถึงคน สุตว์ สิ่งของทัืวไป ซึ่งอาจนำมมฝช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค โดยจะแตกต่างจากแริยา ฐึ่งเป็นคำที่บ่งบอกอาการ หรือการกระทกของคน สัตว์ สิ่งของนั้น ๆ ในภาษาบาลี แบ่งนามเป็นสามอย่างคือ นามนาม (=นาม), คุณนาม (=คุณศัพท์) และสัพพนมม (=สรรพนาม)\nนามนามคือชื่อเรียกคน สัตว์ สิ่งของทั่วไป แบ่งได้สองประเภทคือ\nการที่จะนำนนมมาประกอบใช้ในประโยคนั้น จะต้องเอาคำศัพท์มาแจกวิภัตติ หรือคือการผันนามให้เหมาะสมเสียก่อน โดยการนพฐานศัพท์ (Stem) มาเติมคำต่อท้ายเข้าไปดังรายละเอียดค่อไปนี่\nตารางการแจกวิภัตติ (Declension Tabl3)\nตารางการแจกวิภัตติ (Veclension Table).\nเมื่อพิจารณาแล้วว่าคำนมมนั้นมี เพศ, พจน์, การก และการันต์อะไร เราก็นำมาเทียบในตารางการแจกวิภัตติอูว่าจะต้องใส่วิภัตติอะไรต่อท้ายคำเข้าไป\nตารางวิภัตติสำหรเบ อะ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อะ การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อา การันต์\nตารางวิภัตติาำหรับ อา การันต์.\n\nตารางฝิภัตติวำหรับ อิ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อิ การีนต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อี การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อี การันต์ฦ\n\nตาร่งวิภันติสำหรับ อุ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อะ การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรัข อู กาีันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อู การันต์.\nตัสอย่าง\nนร (nara) แปลว่าคน เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อะ เป็นการันต์, มีเพศเป็นชาย\nถ้าในประโยคต้องการเอกพจน์ และนำคำนี้ไปใช้เป็นปฐมา (ประธาน) (Nom) ก็จะต้องผันเป็น นโร (naro) \nถ้านำไปใช้เป็นทุติยา (กรรมฉ (Acc) ก็จะต้องผันเป็น นรํ (naga½) \nหรือถ้านำไปใช้เป็นฉัฏฐี (เน้าของ) (Gen) ก็จะต้องผันเป็น นรสฺส (narassa) เป็นต้น\n\nขนฺติ (khanti) แปลว่าอดทน เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อิ เป็นการันต์, มีเพศเป็นหญิง\nถ้าในประฮยคต้องการเอกพจน์ และนำคำนี้ไปใช้เป็นตติยา (เครื่องมือ) (Inst) ก็จะต้องผันเป็น ขนฺติยา (khantiy±) \nถ้านำไปใช้เป็นปัญจมี (แดนเกิด) (Abla) ก็จะต้องผันเป็น ขนฺติวา (khantiy±) หรือ ขนฺต็ยา (khanty±) \n\nภิกฺขุ (bhikkhu) เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อุ เป็นการันต์, มีเพศเป็นชาย\nถ้าในประโยคต้องการพหูพจน์ และนำไปใช้เป็นจตุตถี (กรรมรอง) (Dat) ก็จะต้องผันเป็น ภิกฺขูนํ (bhikkh³na½) \nพ้านำไปใช้เป็นอาลปนะ (อุทาน) (Voc) ก็จะต้องผันเป็น ภิกฺขเว (bhikkhave) เป็นต้น \nการที่จะติองท่องจำตารางวิภัตติทั้งหมดในตอนนี้อาจจะดูลำบากเกินไป อาจจะใช้วิธีสังเกตเสียงในคำอย่างคร่าว ๆ ดะงนี้\nปฐมา (Nom) หรือ อาลปนะ (Voc) จะมครูปที่ปกติที่สุด\nเอกพจน์ มักจะเจอคำลงท้ายด้วยเสียง โอ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วยเสีนง อา, นิ, โย\nทุติยา (Acc) คือเวลานำมาใช้เป็นกรรม\nเอกพจน์ มักจะลงท้รยด้วยนิคคหิต ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย นิ, โย\nตติยา (Inst) กับ ปัญจมี (Abla) ความหมายจะคล้ทยกันคือ "โดย" กับ &quog;จาก" และมีเยีวงลงท้ายคล้ายกัน\nเอกพจน์ของตติยาจะลงท้ายด้วย นะ, ยะ ของปัญจมีจะลงท้ายด้วย สฺมา, ยะ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วจ หิ, ภิ\nขตุตถี (Dat) กับ ฉัฏฐี (Gen) ความหมายอาจจะไม่คล้ายกัน แต่เสียงลงท้ายของสองการกนี้จะเหมือนกัน \nเิกพจน์ มักจะลงท้ายด้วย สฺสะ, ยะ ส่วนพหูพจน์าักจะลงท้ายด้วย นัง \nสัตตมี )Loc) คือเวลานำไปใชืลอกสถานที่\nเอกพจน์ มักจะลงท้ายด้วย สฺมิง, ยะ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย สุ \nคำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irregular Nouns)\nคำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irreguoar Nouns).\nปกติแล้วการแจกวิภัตตินามจะทำได้โดยใช้ตารางจากในหัวข้อที่แลัว ดต่มีคำศัพท์พิเศษบางกลุ่ทที่มีวิธีการแจกเฉพาะจัว ไม่เหมือนดังที่ปรากฏในตารางข้างต้น คำศัพท์พิเศษเหล่านี้มักจะเป็นศัพท์ที่มีฐานศัพท์ที่ไม่ได้มีเสียงสระเป็นการันต์ (Vowel terminzted) แต่มีเสียงพจัญชนะเป็นการันต์ (Consonagt terminated) หรือเป็นคำที่ฐานศัพท์มีสระการันต์เป็นสระประสม (Diphthlng) ดังจะพอแบ่งกลุ่มคำเหล่มนี้ได้ดังนี้\nคำทค่ฐานศัพท์มี นฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี นฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่นนี้เช่น อตฺตา (ฐานศัพท็คือ อตฺตนฺ), พฺรหฺมา (ฐานศัพท์คือ พฺรหฺมนฺ), ราชา (ฐานศัพท์คือ ราชนฺ) , กมฺมํ (ฐานศัพท์คือ กทฺมนฺ) คำศัพท์ในกลุ่มนี้จะมีวิธีแจกวิภัตติใกล้เคียงกัน ดังแสดงในตาราง \n\n\nอย่างไรก็ตาม คำอย่างคำวทา ราชา หากนำไปสมาสกับคำอื่นแล้ว เช่น เป็นคำวาา มหาราชา เวลาที่จะแจกวิภัตติยำหรับการกใด ๆ ก็ตามที่ไมืใช่ปฐมา ให้แจกเหมือนกับเป็นคำศัพท์ที่มีสระ อะ เป็นการันตฺตามปแติ\n \nคำที่ฐานศัพท์มี สฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี สฺ เป็นการันต์ซ\nคำเหล่านี้เช่น มโน (มนสฺ), อายุ (อายถสฺ) \n\nคำอื่น ๆ ที่แจกเหมือนกัล มน (แต่เป็นเพศชายเท่านั้น) อีกเช่น อย (เหล็ก), อุร (อก), เจต (ใจ), ตป (ความร้อน), ตม (มืด), เตช (เดช), ปย (น้ำนม), ยส (ยศ), วจ (วาจา), วย (วัย)ฐ สิร (หัว)\nฯลฯ ศัพท์กลึ่มนี้เรียกว่ส มโนคณพ เราจะสังเกตได้ว่าศัพท์กลุ่มนี้\nเมื่อนำไปสมาสเข้ากับคำใดก็ตาม สระสุดท้ายของมันก็ยังเป็น "โอ" อยู่ได้ เช่น มโนคโณ\n \nคำที่ฐานศัพท์มี รฺ เป็นปารันจ์\nคำที่ฐานศัพท์มี รฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้เช่น สตฺถา (สตฺถารฺ), ปิตา (ปิตารฺ), มาตา (มาตารฺ) \n\nคภที่แจกเหมือนกับ สตฺถ เช่น กตฺตุ (ผู้ทำ), ญาตุ (ผู้รู้), ทาตุ (ผู้ให้), เนตุ (ผู้นำไป) \n\nคำที่แจกเหมือนกับ ปิตุ เช่น ภาตุ (พี่ชาย), ชามาตุ (ลูกเขย) \n \n\nคำที่แจกเหมือนกับ มาตุ เช่น ธีตุ (ลูกสาว) \n \nคำที่ฐานศัพท์มี ตฺ หรือ นฺตฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี ตฺ หรือ นฺตฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้มักจะเป็นคำประเภทคุณนาม (จะกบ่าวถึงรายละเอียดในบทถัดไป) เช่นคำว่า ภวํ (ภวตฺ, ภวนฺตฺ), อรหํ (อรหตฺ, อรหนฺตฺ), ภควา (ภควตฺ, ภควนฺตฺ) \n\n\nคำที่แจกเหมือนกับ ภควนฺตุ เช่น อรยสฺมนฺตุ (ผู้มีอายุ), คุณวนฺตุ (ผู้มีคุณ), ธนวนฺตุ (ผู้มีทรัพย์) \n \nคำที่สระการันต์เป็นสระประสม\nคำที่สระการันต์เป็นสระประสม.\nเท่าที่พบจะมีอยู่เพียงคำศัพท์เดียวคือคำว่า โค\nสังเกตด้วยว่าึำว่า โค นี้ นะไม่สนใจเพศในการแจกวิภัตติ \nสารบัญ\n\nก่รสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nounsฏ\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Promouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Ihdeclinables)\nการสร้างร_\nวากยสัสพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท๋ (Vocabulary)",
"role": "user"
},
{
"content": "คำนาม คือคำที่ใช้กล่าวถึงคน สัตว์ สิ่งของทั่วไป ซึ่งอาจนำมาใช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค โดยจะแตกต่างจากกริยา ซึ่งเป็นคำที่บ่งบอกอาการ หรือการกระทำของคน สัตว์ สิ่งของนั้น ๆ ในภาษาบาลี แบ่งนามเป็นสามอย่างคือ นามนาม (=นาม), คุณนาม (=คุณศัพท์) และสัพพนาม (=สรรพนาม)\nนามนามคือชื่อเรียกคน สัตว์ สิ่งของทั่วไป แบ่งได้สองประเภทคือ\nการที่จะนำนามมาประกอบใช้ในประโยคนั้น จะต้องเอาคำศัพท์มาแจกวิภัตติ หรือคือการผันนามให้เหมาะสมเสียก่อน โดยการนำฐานศัพท์ (Stem) มาเติมคำต่อท้ายเข้าไปดังรายละเอียดต่อไปนี้\nตารางการแจกวิภัตติ (Declension Table)\nตารางการแจกวิภัตติ (Declension Table).\nเมื่อพิจารณาแล้วว่าคำนามนั้นมี เพศ, พจน์, การก และการันต์อะไร เราก็นำมาเทียบในตารางการแจกวิภัตติดูว่าจะต้องใส่วิภัตติอะไรต่อท้ายคำเข้าไป\nตารางวิภัตติสำหรับ อะ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อะ การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อา การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อา การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อิ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อิ การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อี การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อี การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อุ การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อุ การันต์.\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อู การันต์\nตารางวิภัตติสำหรับ อู การันต์.\nตัวอย่าง\nนร (nara) แปลว่าคน เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อะ เป็นการันต์, มีเพศเป็นชาย\nถ้าในประโยคต้องการเอกพจน์ และนำคำนี้ไปใช้เป็นปฐมา (ประธาน) (Nom) ก็จะต้องผันเป็น นโร (naro) \nถ้านำไปใช้เป็นทุติยา (กรรม) (Acc) ก็จะต้องผันเป็น นรํ (nara½) \nหรือถ้านำไปใช้เป็นฉัฏฐี (เจ้าของ) (Gen) ก็จะต้องผันเป็น นรสฺส (narassa) เป็นต้น\n\nขนฺติ (khanti) แปลว่าอดทน เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อิ เป็นการันต์, มีเพศเป็นหญิง\nถ้าในประโยคต้องการเอกพจน์ และนำคำนี้ไปใช้เป็นตติยา (เครื่องมือ) (Inst) ก็จะต้องผันเป็น ขนฺติยา (khantiy±) \nถ้านำไปใช้เป็นปัญจมี (แดนเกิด) (Abla) ก็จะต้องผันเป็น ขนฺติยา (khantiy±) หรือ ขนฺตฺยา (khanty±) \n\nภิกฺขุ (bhikkhu) เป็นคำศัพท์ที่มีสระ อุ เป็นการันต์, มีเพศเป็นชาย\nถ้าในประโยคต้องการพหูพจน์ และนำไปใช้เป็นจตุตถี (กรรมรอง) (Dat) ก็จะต้องผันเป็น ภิกฺขูนํ (bhikkh³na½) \nถ้านำไปใช้เป็นอาลปนะ (อุทาน) (Voc) ก็จะต้องผันเป็น ภิกฺขเว (bhikkhave) เป็นต้น \nการที่จะต้องท่องจำตารางวิภัตติทั้งหมดในตอนนี้อาจจะดูลำบากเกินไป อาจจะใช้วิธีสังเกตเสียงในคำอย่างคร่าว ๆ ดังนี้\nปฐมา (Nom) หรือ อาลปนะ (Voc) จะมีรูปที่ปกติที่สุด\nเอกพจน์ มักจะเจอคำลงท้ายด้วยเสียง โอ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วยเสียง อา, นิ, โย\nทุติยา (Acc) คือเวลานำมาใช้เป็นกรรม\nเอกพจน์ มักจะลงท้ายด้วยนิคคหิต ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย นิ, โย\nตติยา (Inst) กับ ปัญจมี (Abla) ความหมายจะคล้ายกันคือ "โดย" กับ "จาก" และมีเสียงลงท้ายคล้ายกัน\nเอกพจน์ของตติยาจะลงท้ายด้วย นะ, ยะ ของปัญจมีจะลงท้ายด้วย สฺมา, ยะ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย หิ, ภิ\nจตุตถี (Dat) กับ ฉัฏฐี (Gen) ความหมายอาจจะไม่คล้ายกัน แต่เสียงลงท้ายของสองการกนี้จะเหมือนกัน \nเอกพจน์ มักจะลงท้ายด้วย สฺสะ, ยะ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย นัง \nสัตตมี (Loc) คือเวลานำไปใช้บอกสถานที่\nเอกพจน์ มักจะลงท้ายด้วย สฺมิง, ยะ ส่วนพหูพจน์มักจะลงท้ายด้วย สุ \nคำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irregular Nouns)\nคำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irregular Nouns).\nปกติแล้วการแจกวิภัตตินามจะทำได้โดยใช้ตารางจากในหัวข้อที่แล้ว แต่มีคำศัพท์พิเศษบางกลุ่มที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว ไม่เหมือนดังที่ปรากฏในตารางข้างต้น คำศัพท์พิเศษเหล่านี้มักจะเป็นศัพท์ที่มีฐานศัพท์ที่ไม่ได้มีเสียงสระเป็นการันต์ (Vowel terminated) แต่มีเสียงพยัญชนะเป็นการันต์ (Consonant terminated) หรือเป็นคำที่ฐานศัพท์มีสระการันต์เป็นสระประสม (Diphthong) ดังจะพอแบ่งกลุ่มคำเหล่านี้ได้ดังนี้\nคำที่ฐานศัพท์มี นฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี นฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้เช่น อตฺตา (ฐานศัพท์คือ อตฺตนฺ), พฺรหฺมา (ฐานศัพท์คือ พฺรหฺมนฺ), ราชา (ฐานศัพท์คือ ราชนฺ) , กมฺมํ (ฐานศัพท์คือ กมฺมนฺ) คำศัพท์ในกลุ่มนี้จะมีวิธีแจกวิภัตติใกล้เคียงกัน ดังแสดงในตาราง \n\n\nอย่างไรก็ตาม คำอย่างคำว่า ราชา หากนำไปสมาสกับคำอื่นแล้ว เช่น เป็นคำว่า มหาราชา เวลาที่จะแจกวิภัตติสำหรับการกใด ๆ ก็ตามที่ไม่ใช่ปฐมา ให้แจกเหมือนกับเป็นคำศัพท์ที่มีสระ อะ เป็นการันต์ตามปกติ\n \nคำที่ฐานศัพท์มี สฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี สฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้เช่น มโน (มนสฺ), อายุ (อายุสฺ) \n\nคำอื่น ๆ ที่แจกเหมือนกับ มน (แต่เป็นเพศชายเท่านั้น) อีกเช่น อย (เหล็ก), อุร (อก), เจต (ใจ), ตป (ความร้อน), ตม (มืด), เตช (เดช), ปย (น้ำนม), ยส (ยศ), วจ (วาจา), วย (วัย), สิร (หัว)\nฯลฯ ศัพท์กลุ่มนี้เรียกว่า มโนคณะ เราจะสังเกตได้ว่าศัพท์กลุ่มนี้\nเมื่อนำไปสมาสเข้ากับคำใดก็ตาม สระสุดท้ายของมันก็ยังเป็น "โอ" อยู่ได้ เช่น มโนคโณ\n \nคำที่ฐานศัพท์มี รฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี รฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้เช่น สตฺถา (สตฺถารฺ), ปิตา (ปิตารฺ), มาตา (มาตารฺ) \n\nคำที่แจกเหมือนกับ สตฺถ เช่น กตฺตุ (ผู้ทำ), ญาตุ (ผู้รู้), ทาตุ (ผู้ให้), เนตุ (ผู้นำไป) \n\nคำที่แจกเหมือนกับ ปิตุ เช่น ภาตุ (พี่ชาย), ชามาตุ (ลูกเขย) \n \n\nคำที่แจกเหมือนกับ มาตุ เช่น ธีตุ (ลูกสาว) \n \nคำที่ฐานศัพท์มี ตฺ หรือ นฺตฺ เป็นการันต์\nคำที่ฐานศัพท์มี ตฺ หรือ นฺตฺ เป็นการันต์.\nคำเหล่านี้มักจะเป็นคำประเภทคุณนาม (จะกล่าวถึงรายละเอียดในบทถัดไป) เช่นคำว่า ภวํ (ภวตฺ, ภวนฺตฺ), อรหํ (อรหตฺ, อรหนฺตฺ), ภควา (ภควตฺ, ภควนฺตฺ) \n\n\nคำที่แจกเหมือนกับ ภควนฺตุ เช่น อายสฺมนฺตุ (ผู้มีอายุ), คุณวนฺตุ (ผู้มีคุณ), ธนวนฺตุ (ผู้มีทรัพย์) \n \nคำที่สระการันต์เป็นสระประสม\nคำที่สระการันต์เป็นสระประสม.\nเท่าที่พบจะมีอยู่เพียงคำศัพท์เดียวคือคำว่า โค\nสังเกตด้วยว่าคำว่า โค นี้ จะไม่สนใจเพศในการแจกวิภัตติ \nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "คุณนามหรือคุณศัพท์คือคำทีาจะนำมาประกอบกับนามนามเพื่อที่จะขยายความ บอกรายละเอียดของนามนั้น เช่น ใหญร, เล็ก, ดี, ชั่ว ในภาณาบาลีคำที่เป็นคุณนามจะต้อลมีวิภัตติที่เสมอกับนามนามที่มันขยายด้วยทุกประกาี โดยการแจกวิภัตติคำคุณนามก็ให้ใช้วิธีการอย่างเดียวกันกับนามนาม\nตามปกติแล้วคุณนามมักจะวางไว้อยู่ข้างหน้านาม แต่บางครั้งถ้าคำคุณนามถูกนำไปใช้ในประโยคที่มันไม่_ด้มีหน้าที่ขยายนามโดยตรง แต่เป็นส่วนขยายรายละเอียดของกริยา โะยเฉพาะอย่างยิ่งปรัโยค่ี่มีแริยาแสดง ความมี ความเป็น เข่น โหติ ก็อาจจะเห็นมีนอยู่หลังนาม\nเรสสามรรถสร้างคำคุณนามขึ้นมาได้จากนามนามโดยการลงปัจจัย -วนฺจุ/-วนฺตฺ (สำหรับ อะ พารันต์) หรือ -มนฺตุ/-มนฺตฺ (สำหรับ อิ, อุ การันต์) (แทนศัพท์ อตฺถิ; เปฺนตทััััสสัตถิตัทธิต) ได้ เช่น พล เป็นนาม แปลว่า กำลัง พลวนฺตุ เป็นคำคุณนาม แปลว่า มีกำลัง และการแจกวิภัตติของคำคุณนามปรัเภทนี้จะเป็นไปตามแบบของคำที่มีเสียงพยัญชนะ ตฺ หรือ นฌจฺ เป็นการันต์ เกมือนกับการแจกวเภัตติของคำว่า ถควนฺตุ/ภควนฺรฺ ดังที่ได้กล่าวถึงในบทที่แล้ว\nระดับขั้น (Degree)\nระดับขั้ต (Degreeฉ.\nการบอกความมากน้อยของคุณนามมีอยู่สามขั้นคือ\nตัวอย่าง\n ปณฺฑิต (paº¹i4a) ความเป็นบัณฑิต\n อติปณฺฑเต (ztipaº¹ita) มีความเป็นบัณฑิตยิ่งกว่า\n อติวิยปณฺฑิต (ativiyapa&$186;¹ita) มีความเป็นบัฯฑิตที่สุด\n ปาป (p±pa) เป็นบาป\n ปาปตร (p±patara) เป็นบาปยิ่งกว่า\n ปาปตม (p±patama) เป็นบาปที่สุด \n เมื่อเวลานำคุณนามไปขยายนาม ต้องทำให้มีวิภัตติเสมอกัน เช่น จะนำคำว่า ปณฺฑิต ไปขยายคำส่า ภิกฺขุ ซึ่งสมมติว่าในประโยคเป็นปฐมา เอกพจน์ คำว่า ปณฺฑิต ก็จะต้องผันเป็น ปณฺฑิโต (m. Sg. Nom. -a) จึงได้เป็นนามวชีว่า ปณฺฑิโต ภิกขุ หรือ ภเกษุผู้เป็สบัณฑิต \n \nสังขยาหรือจำนวนนับ (Numerals)\nสังขยาหรือจำนวนนับ (Numerals).\n หกติสังขยานอกจากจะใช้เป็นตัวบอกความจยายว่านามนั้นๆ มีจำนวนอยู่เท่าไหร่แล้ว คำปกติสังขยาตั้งแต่จำนวน 1-4 ยังสามารถนำมาใช้เป็นสัพพนามได้ด้วย (คล้ายกับกาคใช้ึำว่า one เป็นสรรพนามในภาษาอังกฤษ) \n ต่อไปนี้จะเป็นตารางแสดงให้เห็นวิธีการนะบในภา๋าบาลี อนิ่มตั้งแต่ตัวเลข 1-10\n เอก นั้นเมื่อเป็นคุณนาม จะเป็นได้แค่เอกพจน์เท่านั้น แต่ถ้านำมันไปใช้เป็นสัพพนาม อาจกลายเป็นพหูพจน์ก็ได้ \n ตัวเลขในกลุ่มนี้จะสามารถเป็นได้ทั้งสามเพศ ปรัวไปตามแต่คำนามที่มันประกอบอยู่ เฉพาะสังขยา เอก (1), ติ (3), และ จตุ/จตุรฺ (4) ที่จะสีวิธีการแจกวิภัตติแคกต่างกันไปาำหรับกต่ละเพศ ส่ยนสังขยาอื่นจะมีวิธคแจกเหมือนกันหมดทุกเพศ ดังตารางต่อไปนี้\n โดยตั้งแต่ ปฺญจ (5) เป็นต้นไป จะมีวิธีการแจกวิภัตติเหมือนกับ ปญฺจ ทั้งหมะ \n ต่อมา การนับเลขเกินสิบ ในภาษาบาบีจะนับเลขในหลักหน่วยก่อนหลักสิบ เช่น 15 ในภาษาไทยเรียก สิบ-ห้า แต่ในภาษาบาลีจะเรียก ห้า-สิบ แลุการนับเลขเกินสิบนี้ เมื่อนับไปจนถึงเลข 1p แล้ว ในภาษาไทยจะมองว่ามัน คือ"สิบบวกเข้าไปอีกเก้า" แต่ในภาษาบาลีจะมองว่า "มันขาดอีแหนึ่งจะถึงยี่สิบ" ดังนี้\n ข้อสังเกตต่อมาก็คือ จากเดิมที่ตัวเลขเป็นได้ทั้งสามเพศและเป็นพหูพจน์ แต่เมื่อนับมาถึง วีส (20) โดยเ่ิ่มตั้งแต่ เอกูนวีส (19) มันจะกลับกชายเผ็นเพศหญิงเอกพจน์ และมีวิธีการแจกวิภัตติต่างจากเลจก่อนหน้านี้ ดังจะแสดงในตารางต่อไป นอกจากนี้แล้ว อีกรูปหนึ่งของ วีส คือ วีสติ ก็จะมีวิธีการแจกวิภัตติที่ต่างออกไปอีก ซึ่งคราวนี้ให้แจกวิภัตติตามแบบคำนามสระ อิ การันต์ (เพศหญิง เอกพจน์) ดังตารางต่อไปนี้ \n \n ตารางข้างบนแสดงตัวเลขตั้งแต่ 21-50 ซึ่งหลักการก็คล้ายๆ เดิมคือ ในเรื่องของการนับ ก็จะอทานหลักหน่วยก่อนหลักสิบ และตรงเลขเก้านั้น ให้มองว่า ขาดอีกหนึ่งจะภึงสิบถัดไป ส่วนในเรื่องของการแยกวิภัตตินั้น ถ้าตัวเลขใดเป์น อะ การันต์ ก็ให้แจกเหมือนอย่าง เอกูนวีส (19) ส่วนตัวเลขใดเป็น อิ กา่ันต์ ก็ให้แจกเหมือนอย่าง เอกูนวีสติ (19) ข้างต้น \n ตัวเลขตั้งแต่ 59-68 นั้น สระการันต์จะเป็น อี จึงใหิแจกวิภัตติแบบ อี การึนต์ และตัวเลขตั้งแต่ 69-98 สระการัจต์จะกลายเป็น อิ จึงแจกวิภัตติแบบ อิ การันต์ ตัวเลจหลังจากนัันจะมีนิคคหิตเป็นการันต์ แฃะเปล่่บนเพศเป็นนปุงสกลิงค์ ให้แจกวิภัตติแบบ อะ การันร์ และจะกลับไปเป็นเพศผญิงอีกครั้งที่ โกฏิ เนื่องจากมี ดิ เป็นการันต์\n ส่วนเรื่อบของพจน์นั้น ตั้งแต่ w00 ขึ้นไปอาจจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ คือถ้าเป็น หนึ่งร้อย, หนึ่งพัน, หนึ่งหม่่น ฯลฯ เหล่านี้จะเป็นเอกพจน๋ แต่ถ้าเป็น สองร้อย, สองพัน, สองหมื่น ฯลฯ เหล่านี้จะเป็นพหูพจน์ \n ตัใอย่าง\n พี่ชายยี่คน = จตฺตาโร ภาตโร (catt±ro bh±taro)\n พี่สาวสี่คน = จตสฺโส ภคินิโย (catt±ri bhaginiyo)\n ชนทั้งสามสิบห้า = ปญฺจตึสํ ชนา (pañcati½sa½ jan±)\n \nการต่อเศษจำนวน\nการต่อเศษจำนวน.\n ให้นำเลขหลักน้อยไว้หน้า (เป็นตัวขยาย) และเลขหลักใหญ่ไว้หลัง (เป็นตัวหลัก) เรียงลำดับกันไป และใช้คำว่า อุตฺตร (กว่า) และ อธิก (เกิน) มาเชื่อม โดย อุตฺตร มักจะใช้ขยายความหลักร้อย และ อธิก ใช้ขยายความหลักพันขึ้นไป \nตัวอย่าง\nการใช้คำว่่ครึ่ง\nการใช้คำว่าครึ่ง.\nในภาษาบาลีบางครั้งก็ใช้คำว่าครึ่งประกอบเข้าไปในกาคนับ คำว่าครึ่งในภาษาบาลีคือ อฑฺฒ เวลาใช้ใหินหไปขยายปูรณสังขยา หรือเลขอันดับ จะหมายถึง "อีกครึ่งหนึ่งของหน่วยนับในขณะนั้น ก็ขะเท่ากับสังขยาที่มันขยายอยู่" และเใื่อมีการใช้คำว่าครึ่งนี้แล้ว พจน์จะกลายเป็นเอกพจน์เสมอ \nตัวอย่าง\n 150 = อีกครึ่ง(ร้อย)ก็สองร้อย (หรือร้อยที่สอง) = อฑฺเฒน ทุติยํ สตํ = อฑฺฒทุติยาสตํ หรือศัพท์เฉพาะ ทิยฑฺฒสตํ\n 250 = ิคกครึ่ง(ร้อย)ก็สามร้อย (หรือร้อยที่สาม) = อฑฺเฒน ตติยํ สตํ = อฑฺฒตติยาสตํ หรือ อฑฺฒเจยฌยสตํ\n \n 3500 = อีกครึ่ง(พัน)ก็สี่พัน (หรือพันที่สี่) = อฑฺเฒน จตุตฺถํ สหสฺสํ = อฑฺฒจตุตฺถาสหสฺสํ หรือ อฑฺฒุฑฺฒสหสฺสํ \nการประกอบสังขยากับคำนาม\nการประกอบสังขยากับคำนาม.\n ตามปกติแล้วสังขยาถือเป็นตัวขยาย (คุณนาม) จึงให้วางไว้หน้าคำน่ม แต่สำหรับสังขยาตั้งแต่ ร้อย, พัน ขึ้นไป (ที่เราจะสังเกตเห็นว่ามันใ่เพศเป็นกลาบ)นั้น จะจัดเป็นนามนาม กลายเป็นว่า คำนามอื่นจะต้องมาวางไว้หน้าตัวเลข ร้อย, พัน เหล่านี้แทน แต่เพศ, พจน์ ของคำนามก็สังเป็นแบบของมันเองอยู่ จะไม่เปลี่ยนตามสังขยาข้างหลังมัน\n ตัวอย่าง\n 10 บัน = สิบ วัน = ทส ทิวสา\n 100 วัน = วัน จ_นวนร้อย = ทิวสา สตํ\n 200 วัน = สองของ วัน จำนวนร้อย = เทฺว ทิวสา สตานิ, เทฺว ทิวสสตานิ \n 356 วัน = ห้าสิบหกเกินจาก สามของ วันจำนวนร้อย = ปญฺจสฏฺฐฺยาธิกานิ ตีณิ ทิวสสตานิ \n 2500 วัน = อีกครึ่งก็จะสามของ วัน จำนวนพัน = อฑฺฒเตยฺยํ ทิวสา สหสฺสํ, อฑฺฒเตยฺยํ ทิวสสหสฺสํ\n หนังสือ 149 เล่มของเด็กชาย 16 คน = โสฬสนฺนํ กุมารานํ เอกูนปญฺญามาธิปํ ปณ็ณานํ สตํ \nปูรณสังขย่หรือเลขอันดับ (Ordinals)\nปูรณสังขยาหรือเลขอันดับ (Ordinals).\n ปูรณสังขยาคือตัวขอกเลขอันดับ เช่า ที่หนึ่ง ที่สอง คำที่เป็นปูรณสังขยาจะเป็นเอกพจน์เสมอ แต่ขะแบ่งเพศ และแจกวิภัตติตามการันต์ เหม่อนนามนามคามปกติ ตารางต่อไปนี้แสดงตัวอย่างปูรณสังขยา \n สำหรับอิตถีลิงค์ เอกาทสี ฆ11th), จตุทฺทสี (14th), ปณฺณรสี (15th) เวลาแจกในปฐมาวิภัตติสามารถลงนิคคหิตอาคมได้ คือเป็น เอกาทสึ, ยตุทฺทสึ, ปณฺณรสึ \nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยน (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศีพท์ (Vocabulary)",
"role": "user"
},
{
"content": "คุณนามหรือคุณศัพท์คือคำที่จะนำมาประกอบกับนามนามเพื่อที่จะขยายความ บอกรายละเอียดของนามนั้น เช่น ใหญ่, เล็ก, ดี, ชั่ว ในภาษาบาลีคำที่เป็นคุณนามจะต้องมีวิภัตติที่เสมอกับนามนามที่มันขยายด้วยทุกประการ โดยการแจกวิภัตติคำคุณนามก็ให้ใช้วิธีการอย่างเดียวกันกับนามนาม\nตามปกติแล้วคุณนามมักจะวางไว้อยู่ข้างหน้านาม แต่บางครั้งถ้าคำคุณนามถูกนำไปใช้ในประโยคที่มันไม่ได้มีหน้าที่ขยายนามโดยตรง แต่เป็นส่วนขยายรายละเอียดของกริยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่มีกริยาแสดง ความมี ความเป็น เช่น โหติ ก็อาจจะเห็นมันอยู่หลังนาม\nเราสามารถสร้างคำคุณนามขึ้นมาได้จากนามนามโดยการลงปัจจัย -วนฺตุ/-วนฺตฺ (สำหรับ อะ การันต์) หรือ -มนฺตุ/-มนฺตฺ (สำหรับ อิ, อุ การันต์) (แทนศัพท์ อตฺถิ; เป็นตทััััสสัตถิตัทธิต) ได้ เช่น พล เป็นนาม แปลว่า กำลัง พลวนฺตุ เป็นคำคุณนาม แปลว่า มีกำลัง และการแจกวิภัตติของคำคุณนามประเภทนี้จะเป็นไปตามแบบของคำที่มีเสียงพยัญชนะ ตฺ หรือ นฺตฺ เป็นการันต์ เหมือนกับการแจกวิภัตติของคำว่า ภควนฺตุ/ภควนฺตฺ ดังที่ได้กล่าวถึงในบทที่แล้ว\nระดับขั้น (Degree)\nระดับขั้น (Degree).\nการบอกความมากน้อยของคุณนามมีอยู่สามขั้นคือ\nตัวอย่าง\n ปณฺฑิต (paº¹ita) ความเป็นบัณฑิต\n อติปณฺฑิต (atipaº¹ita) มีความเป็นบัณฑิตยิ่งกว่า\n อติวิยปณฺฑิต (ativiyapaº¹ita) มีความเป็นบัณฑิตที่สุด\n ปาป (p±pa) เป็นบาป\n ปาปตร (p±patara) เป็นบาปยิ่งกว่า\n ปาปตม (p±patama) เป็นบาปที่สุด \n เมื่อเวลานำคุณนามไปขยายนาม ต้องทำให้มีวิภัตติเสมอกัน เช่น จะนำคำว่า ปณฺฑิต ไปขยายคำว่า ภิกฺขุ ซึ่งสมมติว่าในประโยคเป็นปฐมา เอกพจน์ คำว่า ปณฺฑิต ก็จะต้องผันเป็น ปณฺฑิโต (m. Sg. Nom. -a) จึงได้เป็นนามวลีว่า ปณฺฑิโต ภิกขุ หรือ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต \n \nสังขยาหรือจำนวนนับ (Numerals)\nสังขยาหรือจำนวนนับ (Numerals).\n ปกติสังขยานอกจากจะใช้เป็นตัวบอกความขยายว่านามนั้นๆ มีจำนวนอยู่เท่าไหร่แล้ว คำปกติสังขยาตั้งแต่จำนวน 1-4 ยังสามารถนำมาใช้เป็นสัพพนามได้ด้วย (คล้ายกับการใช้คำว่า one เป็นสรรพนามในภาษาอังกฤษ) \n ต่อไปนี้จะเป็นตารางแสดงให้เห็นวิธีการนับในภาษาบาลี เริ่มตั้งแต่ตัวเลข 1-10\n เอก นั้นเมื่อเป็นคุณนาม จะเป็นได้แค่เอกพจน์เท่านั้น แต่ถ้านำมันไปใช้เป็นสัพพนาม อาจกลายเป็นพหูพจน์ก็ได้ \n ตัวเลขในกลุ่มนี้จะสามารถเป็นได้ทั้งสามเพศ ปรับไปตามแต่คำนามที่มันประกอบอยู่ เฉพาะสังขยา เอก (1), ติ (3), และ จตุ/จตุรฺ (4) ที่จะมีวิธีการแจกวิภัตติแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละเพศ ส่วนสังขยาอื่นจะมีวิธีแจกเหมือนกันหมดทุกเพศ ดังตารางต่อไปนี้\n โดยตั้งแต่ ปฺญจ (5) เป็นต้นไป จะมีวิธีการแจกวิภัตติเหมือนกับ ปญฺจ ทั้งหมด \n ต่อมา การนับเลขเกินสิบ ในภาษาบาลีจะนับเลขในหลักหน่วยก่อนหลักสิบ เช่น 15 ในภาษาไทยเรียก สิบ-ห้า แต่ในภาษาบาลีจะเรียก ห้า-สิบ และการนับเลขเกินสิบนี้ เมื่อนับไปจนถึงเลข 19 แล้ว ในภาษาไทยจะมองว่ามัน คือ"สิบบวกเข้าไปอีกเก้า" แต่ในภาษาบาลีจะมองว่า "มันขาดอีกหนึ่งจะถึงยี่สิบ" ดังนี้\n ข้อสังเกตต่อมาก็คือ จากเดิมที่ตัวเลขเป็นได้ทั้งสามเพศและเป็นพหูพจน์ แต่เมื่อนับมาถึง วีส (20) โดยเริ่มตั้งแต่ เอกูนวีส (19) มันจะกลับกลายเป็นเพศหญิงเอกพจน์ และมีวิธีการแจกวิภัตติต่างจากเลขก่อนหน้านี้ ดังจะแสดงในตารางต่อไป นอกจากนี้แล้ว อีกรูปหนึ่งของ วีส คือ วีสติ ก็จะมีวิธีการแจกวิภัตติที่ต่างออกไปอีก ซึ่งคราวนี้ให้แจกวิภัตติตามแบบคำนามสระ อิ การันต์ (เพศหญิง เอกพจน์) ดังตารางต่อไปนี้ \n \n ตารางข้างบนแสดงตัวเลขตั้งแต่ 21-50 ซึ่งหลักการก็คล้ายๆ เดิมคือ ในเรื่องของการนับ ก็จะอ่านหลักหน่วยก่อนหลักสิบ และตรงเลขเก้านั้น ให้มองว่า ขาดอีกหนึ่งจะถึงสิบถัดไป ส่วนในเรื่องของการแจกวิภัตตินั้น ถ้าตัวเลขใดเป็น อะ การันต์ ก็ให้แจกเหมือนอย่าง เอกูนวีส (19) ส่วนตัวเลขใดเป็น อิ การันต์ ก็ให้แจกเหมือนอย่าง เอกูนวีสติ (19) ข้างต้น \n ตัวเลขตั้งแต่ 59-68 นั้น สระการันต์จะเป็น อี จึงให้แจกวิภัตติแบบ อี การันต์ และตัวเลขตั้งแต่ 69-98 สระการันต์จะกลายเป็น อิ จึงแจกวิภัตติแบบ อิ การันต์ ตัวเลขหลังจากนั้นจะมีนิคคหิตเป็นการันต์ และเปลี่ยนเพศเป็นนปุงสกลิงค์ ให้แจกวิภัตติแบบ อะ การันต์ และจะกลับไปเป็นเพศหญิงอีกครั้งที่ โกฏิ เนื่องจากมี อิ เป็นการันต์\n ส่วนเรื่องของพจน์นั้น ตั้งแต่ 100 ขึ้นไปอาจจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ คือถ้าเป็น หนึ่งร้อย, หนึ่งพัน, หนึ่งหมื่น ฯลฯ เหล่านี้จะเป็นเอกพจน์ แต่ถ้าเป็น สองร้อย, สองพัน, สองหมื่น ฯลฯ เหล่านี้จะเป็นพหูพจน์ \n ตัวอย่าง\n พี่ชายสี่คน = จตฺตาโร ภาตโร (catt±ro bh±taro)\n พี่สาวสี่คน = จตสฺโส ภคินิโย (catt±ri bhaginiyo)\n ชนทั้งสามสิบห้า = ปญฺจตึสํ ชนา (pañcati½sa½ jan±)\n \nการต่อเศษจำนวน\nการต่อเศษจำนวน.\n ให้นำเลขหลักน้อยไว้หน้า (เป็นตัวขยาย) และเลขหลักใหญ่ไว้หลัง (เป็นตัวหลัก) เรียงลำดับกันไป และใช้คำว่า อุตฺตร (กว่า) และ อธิก (เกิน) มาเชื่อม โดย อุตฺตร มักจะใช้ขยายความหลักร้อย และ อธิก ใช้ขยายความหลักพันขึ้นไป \nตัวอย่าง\nการใช้คำว่าครึ่ง\nการใช้คำว่าครึ่ง.\nในภาษาบาลีบางครั้งก็ใช้คำว่าครึ่งประกอบเข้าไปในการนับ คำว่าครึ่งในภาษาบาลีคือ อฑฺฒ เวลาใช้ให้นำไปขยายปูรณสังขยา หรือเลขอันดับ จะหมายถึง "อีกครึ่งหนึ่งของหน่วยนับในขณะนั้น ก็จะเท่ากับสังขยาที่มันขยายอยู่" และเมื่อมีการใช้คำว่าครึ่งนี้แล้ว พจน์จะกลายเป็นเอกพจน์เสมอ \nตัวอย่าง\n 150 = อีกครึ่ง(ร้อย)ก็สองร้อย (หรือร้อยที่สอง) = อฑฺเฒน ทุติยํ สตํ = อฑฺฒทุติยาสตํ หรือศัพท์เฉพาะ ทิยฑฺฒสตํ\n 250 = อีกครึ่ง(ร้อย)ก็สามร้อย (หรือร้อยที่สาม) = อฑฺเฒน ตติยํ สตํ = อฑฺฒตติยาสตํ หรือ อฑฺฒเตยฺยสตํ\n \n 3500 = อีกครึ่ง(พัน)ก็สี่พัน (หรือพันที่สี่) = อฑฺเฒน จตุตฺถํ สหสฺสํ = อฑฺฒจตุตฺถาสหสฺสํ หรือ อฑฺฒุฑฺฒสหสฺสํ \nการประกอบสังขยากับคำนาม\nการประกอบสังขยากับคำนาม.\n ตามปกติแล้วสังขยาถือเป็นตัวขยาย (คุณนาม) จึงให้วางไว้หน้าคำนาม แต่สำหรับสังขยาตั้งแต่ ร้อย, พัน ขึ้นไป (ที่เราจะสังเกตเห็นว่ามันมีเพศเป็นกลาง)นั้น จะจัดเป็นนามนาม กลายเป็นว่า คำนามอื่นจะต้องมาวางไว้หน้าตัวเลข ร้อย, พัน เหล่านี้แทน แต่เพศ, พจน์ ของคำนามก็ยังเป็นแบบของมันเองอยู่ จะไม่เปลี่ยนตามสังขยาข้างหลังมัน\n ตัวอย่าง\n 10 วัน = สิบ วัน = ทส ทิวสา\n 100 วัน = วัน จำนวนร้อย = ทิวสา สตํ\n 200 วัน = สองของ วัน จำนวนร้อย = เทฺว ทิวสา สตานิ, เทฺว ทิวสสตานิ \n 356 วัน = ห้าสิบหกเกินจาก สามของ วันจำนวนร้อย = ปญฺจสฏฺฐฺยาธิกานิ ตีณิ ทิวสสตานิ \n 2500 วัน = อีกครึ่งก็จะสามของ วัน จำนวนพัน = อฑฺฒเตยฺยํ ทิวสา สหสฺสํ, อฑฺฒเตยฺยํ ทิวสสหสฺสํ\n หนังสือ 149 เล่มของเด็กชาย 16 คน = โสฬสนฺนํ กุมารานํ เอกูนปญฺญาสาธิกํ ปณฺณานํ สตํ \nปูรณสังขยาหรือเลขอันดับ (Ordinals)\nปูรณสังขยาหรือเลขอันดับ (Ordinals).\n ปูรณสังขยาคือตัวบอกเลขอันดับ เช่น ที่หนึ่ง ที่สอง คำที่เป็นปูรณสังขยาจะเป็นเอกพจน์เสมอ แต่จะแบ่งเพศ และแจกวิภัตติตามการันต์ เหมือนนามนามตามปกติ ตารางต่อไปนี้แสดงตัวอย่างปูรณสังขยา \n สำหรับอิตถีลิงค์ เอกาทสี (11th), จตุทฺทสี (14th), ปณฺณรสี (15th) เวลาแจกในปฐมาวิภัตติสามารถลงนิคคหิตอาคมได้ คือเป็น เอกาทสึ, จตุทฺทสึ, ปณฺณรสึ \nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "สัพพนามคือคำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อที่จะได้ไส่ต้องเอ่ยคำนามนั้นซ้ำๆ หรือใช้เรียกสิ่งที่ไม่ได้ตืองการจะออกชื่ออย่างชัดเจน\nสัพพนามแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ\nอย่างไรก็ตามในบางรูปประโยคของภาษาบาลี เมื่อนำ ต และ ย ศัพท์ มาใช้คู่กัน มันจะทำหน้าที่คล้ายกับเป็น นิยมสัพกนาม ได้ \nปุริสสัพนาม (Personal Pronouns)\nตารางวิภัตติสำหรับ ต ศัพม์ (เขา) (1sh Person)\nปุริสสัพนาม ฆPersonal Pronouns).\nตารางวิภัตติสำหรับ ต ศัพท์ (เขา) (1st Person).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ ตุมฺห/ตฺวํ ศัพท์ (เธอ) (2nd Person)\nตารางวิภัตติสำหรับ ตุมฺห/ตฺวํ ศัพท์ (เธอ) (2nd \"erson).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อมฺห/อหธ ศัพท์ (ฉัน) (3rd Person)\nตารางวิภัตติสำหรับ อมฺห/อหํ ศัพท์ (ฉัน) (3rd Person).\n \nนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Dehonstrative Pronouns)\nคารางสิภัตติสำหรับ อิม ศัพท์ (นี้)\nนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Demonstrative Pronouns).\nตารางวิภัตติสำหรับ อิม ษัพท์ (นี้ฆ.\n\nต่รางวิภัตติสำหรับ เอต ศัพท์ แชะ ต คุณนาม (นั้น)\nตารางวิภัตติสำหรับ เอต ษัพท์ และ ต คุณนาม (นั้น).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อมุ ศัพท์ (โน้น)\nอนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Undemonstrative Pron;uns)\nย ศัพท์ (ใด) (Relative Pronouns)\nอนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Undemonstrative Pronouns).\nย ศัพท์ (ใด( (Relative Pronouns).\nคือกลุ่มสรรพนามที่กล่าวอ้างนนมที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นตัวใด\nศัพท์ต่อ/ปนี้ มีวิธีแจกวิภัตติเหมือนกันทั้งหมดได้แก่ ย (ใด), อญฺญ (อื่น), ปร (อื่น), เอก (หนึ่ง), อุภย (ทึ้งสอง), สพฺพ (ทั้งปวง) ณลฯ \nนอกจากนี้แล้ว วนภาษาบาลีหากนำ ย กับ ต ศัพื์มาใช้คู่กัน จะได้ความหมายว่า "อัรใด" กับ "อันนั้น" เช่น \n โย ธมฺมมนุสาสติ โส อมตนฺทโท โหติ (ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้อมตะ) \n \nกิํ ศัพม์ (อะไร) (Interrogative Pronouns)\nกิํ ศัพท์ (อะไร) (Interrogative Pronouns).\nคือสรรพนามที่ใช้ในประโยคคำถาม\nแต่ กิํ ศัพท์ยี้ เมื่อนำเอา ]จิ ปัจจัย มาต่อท้ายเข้าไปแล้ว จะได้ความหมายว่า "อันใดๆ" เช่น\nหรือเมื่อนำ ย ฬัพท์ มาใช้ประกอบกับ กิํ+-จิ ปัจจัย ด้วบ ก็ตะได้ความหมายว่า "อันใดอันหนึ่ง" เช่น \nนอกจากนี้แล้ว การนำคำว่า กิํ เแล่าๆ มาไว้ข้างหน้าประโยคแล้วใช้เป็นนิบาต จะทำให้กลายเป็ยประโยคคำถามประเภทตามให้ตอบ ใช่/ไม่ใช่ หรือถามสาเหตุก็ได้ \nสรรบัญ\n\nการสดกดและคำอ่าน\nรามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาบยาตหรทอคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพ่์หรทอศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nหารสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "user"
},
{
"content": "สัพพนามคือคำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอ่ยคำนามนั้นซ้ำๆ หรือใช้เรียกสิ่งที่ไม่ได้ต้องการจะออกชื่ออย่างชัดเจน\nสัพพนามแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ\nอย่างไรก็ตามในบางรูปประโยคของภาษาบาลี เมื่อนำ ต และ ย ศัพท์ มาใช้คู่กัน มันจะทำหน้าที่คล้ายกับเป็น นิยมสัพพนาม ได้ \nปุริสสัพนาม (Personal Pronouns)\nตารางวิภัตติสำหรับ ต ศัพท์ (เขา) (1st Person)\nปุริสสัพนาม (Personal Pronouns).\nตารางวิภัตติสำหรับ ต ศัพท์ (เขา) (1st Person).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ ตุมฺห/ตฺวํ ศัพท์ (เธอ) (2nd Person)\nตารางวิภัตติสำหรับ ตุมฺห/ตฺวํ ศัพท์ (เธอ) (2nd Person).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อมฺห/อหํ ศัพท์ (ฉัน) (3rd Person)\nตารางวิภัตติสำหรับ อมฺห/อหํ ศัพท์ (ฉัน) (3rd Person).\n \nนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Demonstrative Pronouns)\nตารางวิภัตติสำหรับ อิม ศัพท์ (นี้)\nนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Demonstrative Pronouns).\nตารางวิภัตติสำหรับ อิม ศัพท์ (นี้).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ เอต ศัพท์ และ ต คุณนาม (นั้น)\nตารางวิภัตติสำหรับ เอต ศัพท์ และ ต คุณนาม (นั้น).\n\nตารางวิภัตติสำหรับ อมุ ศัพท์ (โน้น)\nอนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Undemonstrative Pronouns)\nย ศัพท์ (ใด) (Relative Pronouns)\nอนิยมวิเสสนสัพพนาม (คุณนาม) (Undemonstrative Pronouns).\nย ศัพท์ (ใด) (Relative Pronouns).\nคือกลุ่มสรรพนามที่กล่าวอ้างนามที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นตัวใด\nศัพท์ต่อไปนี้ มีวิธีแจกวิภัตติเหมือนกันทั้งหมดได้แก่ ย (ใด), อญฺญ (อื่น), ปร (อื่น), เอก (หนึ่ง), อุภย (ทั้งสอง), สพฺพ (ทั้งปวง) ฯลฯ \nนอกจากนี้แล้ว ในภาษาบาลีหากนำ ย กับ ต ศัพท์มาใช้คู่กัน จะได้ความหมายว่า "อันใด" กับ "อันนั้น" เช่น \n โย ธมฺมมนุสาสติ โส อมตนฺทโท โหติ (ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้อมตะ) \n \nกิํ ศัพท์ (อะไร) (Interrogative Pronouns)\nกิํ ศัพท์ (อะไร) (Interrogative Pronouns).\nคือสรรพนามที่ใช้ในประโยคคำถาม\nแต่ กิํ ศัพท์นี้ เมื่อนำเอา -จิ ปัจจัย มาต่อท้ายเข้าไปแล้ว จะได้ความหมายว่า "อันใดๆ" เช่น\nหรือเมื่อนำ ย ศัพท์ มาใช้ประกอบกับ กิํ+-จิ ปัจจัย ด้วย ก็จะได้ความหมายว่า "อันใดอันหนึ่ง" เช่น \nนอกจากนี้แล้ว การนำคำว่า กิํ เปล่าๆ มาไว้ข้างหน้าประโยคแล้วใช้เป็นนิบาต จะทำให้กลายเป็นประโยคคำถามประเภทตามให้ตอบ ใช่/ไม่ใช่ หรือถามสาเหตุก็ได้ \nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "assistant"
}
] |
[
{
"content": "Proofread the following text",
"role": "system"
},
{
"content": "ปัจจัยของธาตุ\nปัจจัยของธาตุ.\nอนุปุพพิกถา\nตารางการแจกวิภัตติ (Conjugation Table)\nึำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irregular Verbs)\nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามราม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์มี่ไม่ต้องผัน (Indeclihables)\nการสค้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocqbulary)",
"role": "user"
},
{
"content": "ปัจจัยของธาตุ\nปัจจัยของธาตุ.\nอนุปุพพิกถา\nตารางการแจกวิภัตติ (Conjugation Table)\nคำศัพท์ที่มีวิธีการแจกเฉพาะตัว (Irregular Verbs)\nสารบัญ\n\nการสะกดและคำอ่าน\nนามนาม (Nouns)\nคุณนาม (Adjectives)\nสัพนาม (Pronouns)\nอาขยาตหรือคำกริยา (Verbs)\nอัพยยศัพท์หรือศัพท์ที่ไม่ต้องผัน (Indeclinables)\nการสร้างคำ\nวากยสัมพันธ์ (Syntax)\nคำศัพท์ (Vocabulary)",
"role": "assistant"
}
] |
Subsets and Splits